เล่าไปใครจะเชื่อ ชีวิตคนเราพลิกชะตากรรมด้วยตัวเราเองเท่านั้น เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน จากเด็กน้อยที่เป็นลูกของโสเภณี เกิดในที่ไร้ค่า...จนถูกนำมาทิ้งลงในกองขยะ ไม่มีใครต้องการ ด้วยสติปัญญา บวก มายเซตที่ดี ของเด็กน้อยผู้นี้ ชีวิตของเขาจึงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือ จากเด็กที่ถูกทิ้งสู่ หมอผู้มีความรู้ความชำนาญและเชี่ยวชาญที่สุดในสมัยพุทธกาล
.
ใช่แล้ว...เรากำลังหมายถึง..หมอชีวกโกมารภัจจ์ สุดยอดผู้นำทางการแพทย์ในสมัยพุทธกาลที่เป็นเบอร์ 1 ของชมพูทวีป เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกลงในพระคัมภีร์ ของศาสนาพุทธ ซึ่งมียาวนานมากกว่า 2000 ปี ทำให้เราได้รับรู้รับทราบถึงลักษณะ ทางสังคม ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ของคนในชมพูทวีป เรื่องราวจะเข้มข้นขนาดไหน มาติดตามรับชมรับฟังกันครับ
.
จากใน EP ที่แล้ว หลายคนคงได้ติดตามเรื่องของนางสิริมา ผู้เป็นหญิงงามเมืองเบอร์ 1 สวยหยาดเยิ้มหยดย้อย ชนิดที่ว่าใครเห็นต้องมนต์สะกด ต้องตกอยู่ในภวังค์..ไม่เว้นแม้กระทั่งพระเจ้า แล้วก็กลับกลายเป็นพลิกชีวิตมาเป็นพระอริยบุคคล ได้อย่างน่าบูชา ถ้าท่านยังไม่ได้รับชม สามารถค้นหาในช่องนี้ได้เลยในตอน นางสิริมา นะครับ
.
แล้วเกี่ยวข้องกับ EP นี้อย่างไร..
ตอบ.. ท่านผู้นี้เป็นลูกผู้ชาย ของหญิงงามเมือง ซึ่งเป็นบุตรคนแรก ( แน่นอนว่าด้วยอาชีพผู้หญิงขายบริการถ้ามีลูกคงไม่ดีแน่ แค่มีลูกไม่เพียงพอยังเป็นลูกผู้ชายอีก แสดงว่าใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยต้องนำไปทิ้ง ) ท่านผู้นี้ คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ส่วนนางสิริมา ใน EP ที่แล้ว ท่านเป็นน้องสาวของหมอชีวก นี่เอง
.
จุดเริ่มต้นของหมอ
.
ในสมัยนั้นมีหญิงงามเมืองชื่อว่า สาลวดี แห่งมคธ เธอเป็นหญิงงามเมืองที่เป็นเบอร์ 1 แห่งนครโสเภณี ว่ากันว่าแต่เดิมนั้น ในเมืองนี้ไม่มีโสเภณีเลยนะ แต่ด้วยการไปศึกษาดูงานในเมืองอื่น เศรษฐกิจของเมืองอื่นมีความครึกครื้น การค้าเป็นไปด้วยดี ก็เพราะมีนครโสเภณีเป็นแหล่งดึงดูดเงิน
.
เมื่อได้ไอเดียแบบนี้ ก็เลยเกิดนครโสเภณีประจำเมืองนี้ขึ้น และคนที่ได้รับเลือกต้องเก่งและสวย เก่ง หมายถึง มีความรอบรู้เรื่องศาสตร์ต่างๆ ในการเอนเตอร์เทน แขก ศาสตร์ของเด็กเอ็นฯ เช่น ร้องรำทำเพลง บทกลอน และ อื่นๆ
..
คนที่ผ่านเข้ารอบออดิชั่นก็มีเพียงหนึ่งเดียว คือ นาง สาลวดี เธอมีบุตรคนแรกก็คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ส่วนคนที่ 2 คือนางสิริมา
.
ชีวิตของหมอน่าสงสารอย่างยิ่ง ด้วยการเกิดที่เป็นลูกผู้ชาย ไม่มีผลดีต่ออาชีพโสเภณีหรือหญิงงามเมืองเลย ทำให้นาต้องเลือกวิธีกำจัดทิ้งโดยการเอาไปโยนทิ้งในกองขยะ
.
บ้างก็อธิบายว่า...เหตุผลที่นางทิ้งบุตรชายก็คงเพราะเห็นว่ามีประโยชน์น้อยกว่าบุตรหญิงคือพูดง่ายๆว่า ..ต่อให้เลี้ยงต่อไปก็ไม่สามารถเอามารับแขกได้
.
บ้างก็บอกว่า ...เธอคงจะเกรงว่าการมีบุตรจะทำให้เสียชื่อเสียงและรายได้ในฐานะหญิงงามเมืองของเธอก็จะถดถอยลงไปด้วย
.
หลังจากที่เธอเอาไปทิ้ง เด็กชายคนนั้นก็ร้องไห้และยังมีชีวิตอยู่ในกองขยะ แต่ด้วยบุญพาวาสนาส่ง ในเวลานั้นเองเจ้าชายอภัยราชกุมาร ขอเสด็จผ่านมาพอดี ก็เลยให้เราเสนาไปดู ท่านก็ทักถามว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
.
ทหารไปดูแล้วก็บอกว่า เจ้าชายว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งภาษานั้นก็คือ ชีวก แปลว่าผู้มีชีวิต คือ ยังไม่ตาย
.
ส่วนในท่อนที่ 2 ของชื่อท่านนั้นท่านใช้คำว่า โกมารภัจจ์ แปลว่าผู้รับใช้กุมาร ทั้งนี้คงจะหมายถึงว่า ท่านถูกรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมจากเจ้าชายอภัยราชกุมาร เลยต้องเป็นผู้รับใช้..ราชกุมาร
.
ครั้นเมื่อท่านโตขึ้น ก็เริ่มมองหาศิลปะวิชาเพื่อเลี้ยงตน วิชาที่ท่านเลือกเรียนคือวิชาการแพทย์ ท่านจึงมุ่งหน้าเดินทางไปเรียนวิชาที่เมืองตักสิลาอยู่ 7 ปีเต็ม
.
ท่านเป็น คนเฉลียวฉลาด หัวไว ความจำดี มีสติปัญญาเป็นเลิศ จึงสามารถเรียนรู้ศิลปะวิทยาการจากผู้เป็นอาจารย์ได้อย่างรวดเร็ว ครบถ้วน ..
.
เมื่อครั้งจบการศึกษา อาจารย์ของท่านได้ให้ท่านถือเสียม เดินทางไปหายา โดยออกเดินทางไปในรัศมี 1 โยชน์รอบเมืองตักสิลาเพื่อให้หาสิ่งที่ไม่ใช่ยากลับมาให้อาจารย์
.
ปรากฏว่า ท่านไม่สามารถหาอะไรที่ไม่เป็นตัวยาได้เลย จึงกลับมามือเปล่า และนี่เองทำให้อาจารย์ของท่าน ยอมรับในความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องของท่าน เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะไม่สามารถไม่ใช้เป็นยาได้ ทุกอย่างล้วน ใช้ได้หมด
.
หลังจากนั้น หมอก็เดินทางกลับมาที่บ้านเกิด แต่ในระหว่างทางนั้นได้ผ่านเมืองชื่อเมืองสาเกต เมืองนี้ มีภรรยาเศรษฐีท่านหนึ่งเป็นโรคปวดหัวและรักษาที่ไหนก็ไม่หาย รักษามาก่อนนะถึง 7 ปีโรคก็ไม่มีทางเยียวยาให้ดีขึ้นเลย ท่านบอก ถ้ารักษาไม่หาย ไม่ต้องจ่ายตังค์ วัดกันไปเลย
.
เสบียงจากการเดินทางของหมอ ก็เริ่มร่อยหรอ ลงทุกวัน จึงต้องเริ่มหาเลี้ยงชีพด้วยวิชาแพทย์นี่เอง
.
และนี่เองคือเคสแรกของการรักษา แรกเริ่มนั้นก็ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าท่านจะสามารถรักษาได้ เพราะด้วยหน้าตาที่ยังอ่อนไหว คนจึงไม่เชื่อถือท่าน
.
ว่ากันว่า ท่านใช้วิธีให้ภรรยาของท่านเศรษฐี นัตถ์ยาด้วยจมูก (เอาเนยเหลวต้มกับยากรอกทางจมูก ) ทำให้สิ่งที่อุดตัน หลุดออกมาอาการหายปวดหัวหายเป็นปลิดทิ้ง เรียกได้ว่าโป้งเดียวจอด
.
ท่านเศรษฐีและบรรดาญาติๆ ดีใจ จึงตบรางวัลให้ท่านอย่างมากมาย คือความกตัญญูต่อพ่อบุญธรรมของท่าน (คือ เจ้าชายอภัย ) ท่านจึงยกทรัพย์สินที่ได้มานั้นให้ท่านเจ้าชาย แต่เจ้าชายไม่ได้รับไว้ ให้คุณหมอเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตัวเอง หรือให้หมอสร้างบ้านอยู่ในเขตวังของพระองค์.
.
ว่ากันว่ามีอยู่ เคสหนึ่ง ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ หมอหลายคนได้ทำนายว่า ถ้าผ่าตัดคงต้องตายภายใน 3 วันหรือ 5 วัน เคสนี้คุณหมอก็รับเคสและลงมือผ่าตัดเปิดกะโหลก สันนิษฐานว่าสิ่งที่พบอยู่ภายในน่าจะเป็นเนื้องอก 2 ชิ้น ( บ้างบอก มีหนอน 2 ตัวอยู่ภายใน )
.
หลังจากนั้นคนไข้ก็หายเป็นปกติ
.
ลองจินตนาการว่า เทคโนโลยีการผ่าตัดสมองแบบเปิดกระโหลกใน 2,000 ปีที่แล้ว ทำได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้ใส่ยาชาหรือไม่หรือจะเป็นการผ่ากันแบบสดๆ พูดแล้วก็หวาดเสียวจริงๆ
.
มีอีกเคสหนึ่ง คนไข้เป็นคนไม่ชอบเนยใส เป็นโรคผอมเหลือง น่าจะ ดีซ่านนะ คนไข้สุดเดือดคนนี้คือ พระเจ้าจัณฑปัชโชติ แห้งกรุง อุชเชนี ส่วนตัวท่าน มีนิสัยดุร้าย ได้สั่งให้หมอเข้าไปรักษา แต่มีข้อแม้ว่าปรุงยาอย่างไรก็ได้ ห้ามมีกลิ่นเนยใส่เด็ดขาด คุณหมอรับเคสนี้แล้วก็หวั่นใจ เพราะอาจจะโดนทำร้ายได้จากผู้สูงอิทธิพลคนนี้
.
ทำยังไงดีล่ะ ท่านจึงคิดกลอุบายในการปรุงยา ให้กลิ่นเนยใสเจือจางจนแทบไม่เหลือร่องรอย
และแล้วก็ให้คนไข้คนนี้ทาน เมื่อทานเสร็จก็ออกอุบายว่า ตนเองเป็นหมอต้องออกไปรักษาที่อื่นขอให้ท่านเตรียมช้างสำหรับการเดินทางไว้ด้วย
คือพูดง่ายๆ ถ้าผู้สูงอิทธิพลคนนี้รู้ว่าเป็นเนยใสท่านจะโดนเล่นงานแน่ๆ จึงเตรียมแผนการหนีไว้ก่อน
.
และแล้วความจริงก็ถูกเปิดเผย
.
คนไข้คนนี้ ทานยาของท่านเข้าไป อาเจียนออกมาและเขาจำได้ทันทีว่านี่คือมีส่วนผสมของเนยใส
แบบนี้ก็เรียกว่า งานเข้าสิครับ จะรออยู่ทำไม
.
เผ่นทันที ...คุณหมอรีบเดินทางออกไปจากเมืองนั้นด้วยช้างที่เตรียมไว้ให้แล้ว
.
คนไข้คนนี้สั่งไล่ล่าท่าน ว่ากันว่าเดินทางไปได้ไกลมาก แต่ไล่ล่าท่านทันนะ โดยการใช้ อมนุษย์
อมนุษย์ตัวนี้เป็นครึ่งคน นะ
.
ด้วยความเป็นหมอเเชี่ยวชาญในการปรุงยาอยู่ด้วย ท่านเลยวางยาซะเลย ไม่ถึงกับตายจะท้องเสีย หน่วงเวลาไว้ให้ท่านได้หนีไปต่อ
.
แล้วคนไข้ใจร้ายคนนี้ก็เปลี่ยนใจ เห็นในคุณงามความดีของท่าน ที่ช่วยรักษาโรคที่ทนทรมานมานานจนหายได้ กลับให้รางวัลอย่างงดงามมาตามหลัง
.
เมื่อท่านเดินทางมาถึงนครราชคฤห์ ท่านพ่อของเจ้าชายอภัย คือพระเจ้าพิมพิสาร ท่านก็ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร
.
ว่ากันว่าท่านนั่งจุดใด ก็มีเลือดไหลที่จุดนั้น ทำให้เปื้อนเสื้อผ้า จนเป็นที่ข้อ ครหาว่า ท่านเป็นผู้ชายมีเมนส์ เรียกว่า บูลลี่กันเห็นๆ นะเนี่ย
.
สร้างความอับอายให้ท่านอย่างมาก คุณหมอก็รักษาริดสีดวงให้ท่านจนหายประชวร
.
ตั้งแต่นั้นมาคุณหมอก็เป็นหมอประจำตัวของพระเจ้าพิมพิสาร
.
พระเจ้าพิมพิสาร นั้นท่านเคารพบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง หมอก็ได้มีโอกาสฟังธรรมและทำบุญกับพระพุทธเจ้าด้วย
.
ท่านบริจาคทานหลายอย่าง
ปรุงยาถวายพระพุทธเจ้า ดูแลอภิบาลด้านการสาธารณสุขหลายอย่างมาก และ
.
ในเหตุการณ์สำคัญที่ทุกคนคงได้ยินคือ พระเทวทัตกลิ้งก้อนหินลงมาจากเขา แล้วเศษหินทำให้พระบาทห้อพระโลหิต คือ ห้อเลือดบ่วมเป่งเหตุการณ์นี้ค่อนข้างรุนแรง คุณหมอก็เป็นคนผ่าตัดเอาเพระโลหิตออกให้ ถือว่าท่านทำบุญครั้งใหญ่ยิ่งนัก สาธุ สาธุ
.
ครั้งหนึ่ง ท่านเห็นความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์นั้นใช้ผ้าเก่าๆ ใช้ผ้าจากการพันตัวศพ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ค่อยสะอาดนัก และ อาจจะเกิดโรคได้ท่านจึง ขอพระราชทานอนุญาตจากองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ ภิกษุสงฆ์ สามารถรับผ้าใหม่ๆ ไว้ใช้ได้
.
ท่านยังแนะนำด้วยว่า พระนั้นหลังจากฉันอาหารแล้ว ก็ได้แต่นั่งภาวนา ไม่มีการลุกเดินอาจจะทำให้อาหารย่อยไม่ดี ลำไส้ไม่มีการเคลื่อนไหว ท่านจึงแนะนำว่าควรทำลานจงกรมให้พระ ได้เดินจงกรม
เพราะได้ทำการฝึกสมาธิและช่วยให้ ระบบย่อยอาหาร ทำงานได้ดีขึ้นด้วย แหม สมเป็นหมอจริงๆ ท่านฉลาดล้ำมาก
.
ยังไม่เพียงเท่านี้ หมอยังขอพระราชทานอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ ได้มีห้องซาวน่า ในสมัยนั้นน่าจะเรียกว่า เรือนน้ำร้อน มีไว้เพื่อเป็นการขับพิษออกจากร่างกายด้วย นับว่าท่านเป็นผู้บุกเบิกโดยแท้จริง
.
สู่อริยะบุคคล
.
หมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านได้ทำบุญครั้งใหญ่โดยสร้างวัดในพื้นที่ของท่าน พื้นที่ของท่านนั้นมีต้นมะม่วงเยอะวัดของท่านจึงชื่อว่า ชีวกัมพวัน (น่าจะแปลว่า วัดสวนมะม่วงของหมอชีวก )
.
ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยความศรัทธาในพระพุทธเจ้า และปวารณาเป็นหมอประจำตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.
ในช่วงนั้น เมื่อเห็นว่าหมอขีวก ท่านรักษาอยู่ในวัด ก็มีคนหลายคนปลอมตัวเข้ามา เพื่อให้หมอรักษา จึงเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้อห้าม มิให้รับคนเจ็บป่วยบางประเภทมาบวช มิใช่เลือกปฏิบัติ แต่ ด้วยงานที่ล้นมือหมอ เท่านั้นก็รับไม่ไหวแล้ว
.
.
ไม่เพียงแค่รักษาคนในชมพูทวีปเท่านั้น ด้วยความที่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงและมีความรู้เรื่องยาเรียกว่าเป็นมือวางอันดับ 1 หรือเภสัชราชา ท่านก็ยังได้ถูกเชิญให้ไปรักษากษัตริย์ของประเทศอียิปต์ด้วย
.
ความรู้ความสามารถของหมอชีวก ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเห็นได้ถึงตำราแพทย์โบราณที่มีความแม่นยำสูงมาก รวมถึงการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วย
.
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่าความรู้ด้านการแพทย์ของประเทศอินเดียนั้น ได้สูญหายไปในประมาณปีพ.ศ 1743 จากการทำศึกสงครามเข้ายึดครองอินเดีย ทำให้เกิดการฆ่าภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ทำลายโบสถ์วิหารและตำราไปหลายเล่ม
ศิลปะวิทยาการทางด้านการแพทย์ก็พลอยโดนไปด้วย
.
หมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านได้รับยกย่องในทาง เป็นที่รักของปวงชน จากพระพุทธเจ้า
.
ด้วยคุณูปการของท่าน บางท่านจึงเรียกท่านว่า พระอาจารย์แพทย์ใหญ่ ชีวกโกมารภัจจ์ บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ และ แพทย์ประจำพระองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
.
ขอขอบคุณ..
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ
เว็บไซต์ กระทรวงสาธารณสุข และ
รายการ มิท ยูนิเวิร์ส แซลมอนพอตแคส และ
วิกิพีเดีย และ
วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกโดย คุณสมชัย บวรกิตติ
.
ข้อมูลดีมีประโยชน์
ฝากรบกวนกดติดตามด้วยจ้า
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น