ถ้าพูดถึงความอัจฉริยะหลายคนคงนึกถึง อัลเบิร์ตไอสไตล์ บ้างก็นึกถึงเณรน้อยเจ้าปัญญา บ้างก็นึกถึงเจ้าหนูชินจัง และคนอื่นๆ อีกมากมาย แต่มีมีอยู่ท่านหนึ่งที่เป็นอัจฉริยะแต่โลกดันลืมเขา
.
ชายคนที่ มีไอคิวสูงถึงประมาณ 260 ถึง 300
ชายคนที่ มีไอคิวสูงมากกว่าอัลเบิร์ตไอน์สไตล์
ชายคนที่ พูดได้ภาษาทั้งที่มีอายุเพียงแปดขวบ
ชายคนที่ คิดค้นภาษาด้วยตนเอง
ชายคนที่ เรียนเรียนรู้และแตกฉานได้สูงสุดถึง 40 ภาษา
ชายคนที่ เรียนระดับประถมศึกษาใช้เวลาเพียงหนึ่งปี
ชายคนที่ เรียนระดับมัธยมศึกษาใช้เวลาเพียงหกสัปดาห์
ชายคนที่ เริ่มสะกดเป็น ตั้งแต่วัยหนึ่งขวบ
ชายคนที่ ที่มีขีดความสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดได้ด้วยวัยเพียงเก้าปี
ชายคนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยอายุที่น้อยที่สุด
.
ใช่แล้ว เขาคือ วิลเลี่ยม เจมส์ ไซดิส อัจฉริยะคนนี้ เขาเปนใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร มารับชมกันครับ
.
โดยปกติแล้ว 95% ของมนุษย์ทั่วไปนั้น มีไอคิวอยู่ที่ 70 ถึง 130 ส่วนคนที่มีไอคิวสูงเกิน 136 ก็จัดว่าเป็นอัจฉริยะ แต่สำหรับคนบางประเภทในเรื่องต่อไปนี้เขามีไอคิวสูงถึง 260 ถึง 300 เลยทีเดียว โดยนิยามของคำว่าเด็กอัจฉริยะ นั่นหมายถึงว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ขวบที่มีความรู้ความสามารถ เหนือกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป บุคคลคนนี้เขาคือ วิลเลียมเจมส์ไซดิส เขาคือบุคคลหนึ่งที่ถูกจัดเป็นเด็กอัจฉริยะ ระดับจักรวาล
.
อพยพหนีสงคราม
.
เล่าย้อนกลับไปในปลายศตวรรษที่ 19 ในสมัยนั้น พ่อแม่เขาอพยพมาเนื่องจากการโจมตีของกลุ่มต่อต้านกลุ่ม เซเมติก อย่างรุนแรงในประเทศยูเครน ( สมัยนั้นยูเครนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย )
.
ซารา และบอริส สองสามีภรรยาได้อพยพลี้ภัย มายังประเทศอเมริกาเช่นเดียวกับชาวรัสเซียเชื้อสายยิว อีกจำนวนมาก บริษัทเป็นคนมีการศึกษาสูง เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาวาด และต่อมาได้เข้าทำงาน ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา ส่วนคุณซาร่าผู้เป็นแม่ เธอมีความรู้ในด้านการแพทย์อย่างดี
ในวันที่ 1 เมษายนปี 1989 เขาได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อว่า วิลเลียม เจมส์ ไซดิส คุณบอริสและซาร่า ช่วยกันเลี้ยงดู สอนลูกให้รู้จักตัวอักษรและการผสมคำ
..
เพียงแค่ 6 เดือน วิลเลี่ยม ก็สามารถสะกดคำว่า door ได้ และเดือนต่อมาสามารถสะกดคำว่า moon ได้ เมื่ออายุเพียง 8 เดือน วิลเลี่ยม สามารถใช้ช้อนตักอาหารกินเองได้ ซาร่า ร้องด้วยความตื่นเต้นและบอกนี่คือ สิ่งที่เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครสอนเขา เขาใช้เหตุผลในการทำมันออกมาเอง แม่เขาเรียกว่า การใช้เหตุผลตามธรรมชาติ แล้วต่อมาแม่ของเขาก็ใช้วิธีนี้ในการสอนให้วิลเลี่ยม ให้รู้จักสะกดคำอื่นๆ
.
แม่เขาบอกว่า เขาไม่ได้ใช้การจดจำแบบคนปกติ แต่เขาใช้วิธีเน้นจดจำไปที่รูปแบบและโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ เช่น เราสะกดคำว่า b a t ค้างคาว เขาใช้วิธีการเปลี่ยน ตัวเอ ออกไปเป็นสระตัวอื่น จนได้คำใหม่ขึ้นมา และจดจำมันไว้โดยใช้หลักการนี้
.
ขณะที่เด็กวัย 1 ขวบส่วนใหญ่จะยังพูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษา แต่วิลเลี่ยมสามารถสะกดคำง่ายๆบางคำได้แล้ว ซาร่า เห็นพัฒนาการของลูกที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กทั่วไปมาก เธอจึงลาออกจากงาน เพื่อเอาเวลามาสอนลูกของเธอให้เฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ
.
5 ขวบ วิลเลี่ยมลากเก้าอี้ตัวสูงขึ้นนั่งเคาะแป้นพิมพ์ดีดเขียนจดหมายสั่งซื้อของเล่นส่งถึงห้างสรรพสินค้าเมซี่ย์ด้วยตัวเอง และต่อมาเขาก็ขวนขวายเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆด้วยตัวเองโดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ เช่น ละติน กรีก ฝรั่งเศส รัสเซีย เยอรมัน และฮิบรู ก่อนจะถูกส่งตัวเข้าเรียนไวยากรณ์เมื่ออายุได้ 6 ขวบ
.
ด้วยวิธีการแบบนี้ทำให้วิลเลี่ยมในวัย 8 ขวบสามารถเข้าใจหลักการพื้นฐานของโครงสร้างภาษา ซึ่งต่อมาเขาสามารถเรียนรู้ได้ทั้ง ภาษาลาติน ภาษากรีก ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย ภาษาฮิบรู ภาษาตุรกี ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอาเมเนีย และ ภาษาอังกฤษ ไม่เพียงเท่านี้เขายังพยายามคิดค้นภาษาเป็นของตนเองชื่อว่า ภาษาเวนเดอร์กู๊ด ซึ่งภาษานี้ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งยุโรป
.
ก่อนเข้านอนคนทั่วไปจะอ่านหนังสือ เทพนิยาย แต่สำหรับพ่อแม่ของเขานั้นจะอ่านหนังสือตำนานของกรีก ทำให้เขาเรียนรู้และจดจำ ดาวเคราะห์ในจักรวาล ได้อย่างแม่นยำ
.
ทุกเวลาของวิลเลี่ยมคือการเรียนรู้
.
เขาไม่มีเวลาสำหรับการเล่น เขาไม่มีเวลาทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ หรือเล่นเกมใดๆ ในช่วงพัก ในหัวของพ่อเขาการที่เด็กๆ วิ่งไล่เล่นกันแบบนั้น เป็นเรื่องที่ไร้สาระไร้ความหมายสิ้นดี ความบันเทิงของวิลเลี่ยม นั้นมีอย่างเดียวก็คือการนั่งรถราง ไปที่ พิพิธภัณฑ์ห้องสมุด สวนสาธารณะและสวนสัตว์
.
ต่อมาเขาได้เขียนหนังสือ collection เกี่ยวกับรถราง ซึ่งลงลึกในรายละเอียดได้อย่างลึกซึ้ง มีความยาวถึง 300 หน้า สามารถอธิบายละเอียดจนน่าทึ่ง รวมกว่า 1600 แบบ
.
william ใช้เวลาเรียนชั้นประถมศึกษา ในเวลาไม่ถึง 1 ปี ใช้เวลาเรียนระดับมัธยมเพียง 6 สัปดาห์ การศึกษาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของเขาไปสะดุดตาสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์นำเรื่องราวของวิลเลี่ยม ไซดิส เด็กอัจฉริยะมาลงในคอลัมน์หลายต่อหลายครั้ง
.
บอริสและซาราฮ์ภาคภูมิใจกับความเฉลียวฉลาดของวิลเลี่ยม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาอยากรู้ก็คือพวกเขามีอิทธิพลต่อความเป็นอัจฉริยะของวิลเลี่ยมหรือไม่ หรือว่าวิลเลี่ยมสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวของเขาเอง
.
นักหนังสือพิมพ์แห่กันมา พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนบ้าหรือคนโรคจิตหรือเป็นแค่ตัวประหลาด ทำให้เขาไม่มีเวลาส่วนตัวเลย
.
เอมมี่ วอลเลซ นักเขียนชีวประวัติคนหนึ่งเคยเล่าประวัติของ william ว่า เขาเป็นบุคคลประหลาดในสายตาของนักเรียนทั่วไป เขาไม่สง่างามทางสังคม เขาไม่สนใจในเรื่องกีฬาและเด็กผู้หญิง.
.
ขอเข้าเรียน แต่วัยไม่ได้
•
บิดาพยายามส่งเขาเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในอายุเพียง 9ขวบ หากแต่ถูกทางมหาวิทยาลัยปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า เขายังเด็กเกินไป ยังขาดการพัฒนาการทางอารมณ์ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย แต่บอริสไม่ยอมแพ้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการบริหาร โน้มน้าวให้มหาวิทยาลัยยินยอมรับวิลเลี่ยมเข้าศึกษา ระหว่างรอการตอบรับ จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาด วิลเลี่ยมฆ่าเวลาด้วยการไปเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัยทัฟต์ เปิดอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ มองหาข้อผิดพลาดในหนังสือและทำการแก้ไข ค้นหาข้อมูลทฤษฎีต่างๆที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขียนและมองหาช่องโหว่
ในช่วงเวลานี้เองวิลเลี่ยมค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองอีกอย่างคือ เขาสามารถคำนวณในใจบอกได้ว่าวันที่นั้นๆของเดือนและปีนั้นๆเป็นวันอะไรได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นวันในอดีตหรือวันในอนาคต ต่อมาในปี 1909 เขาก็ได้เข้าเรียน เขากลายเป็นนักศึกษาที่มีอายุน้อยที่สุดของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
.
มกราคม 1910 วิลเลี่ยมได้รับเชิญให้บรรยายเรื่องคณิตศาสตร์ 4 มิติ (Four-Dimension Bodies) ต่อหน้าผู้ทรงคุณวุฒิและนักศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูง
ด้วยวัยเพียง 11 ปีเขา เขาก็ได้บรรยายในชมรมคณิตศาสตร์ เขาสามารถบรรยายในสิ่งที่แนวคิดทางคณิตศาสตร์เขียนไว้อย่างซับซ้อนได้มากกว่าอายุขัยของ
ศาสตราจารย์เดเนียล คอมสต็อก จากมหาวิทยาลัย MIT ถึงกับทำนายว่าในอนาคตวิลเลี่ยมจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20
หลังจากบรรยายไม่นานเขาก็ป่วย หนังสือพิมพ์พากันตีแผ่ว่าเขาเป็นโรคจิต
.
วิลเลี่ยมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีโดยมีเกียรตินิยมพ่วงท้ายด้วยวัยเพียง 16 ปี เขาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บอสตันเฮราลด์ว่าเขาต้องการมีชีวิตสมบูรณ์แบบด้วยการใช้ชีวิตสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่แต่งงาน ขอครองพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต
.
หลังจากออกจากมหาวิทยาลัยฮาวาด เขาเข้ารับตำแหน่งเพื่อสอนวิชาคณิตศาสตร์ในสถาบัน ไรซ์ ซึ่งในปัจจุบันชื่อว่า มหาวิทยาลัยไรซ์ ในฮูสตัน แต่วิลเลี่ยมสอนอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ลาออกเนื่องจากเขาถูกกดดันจากบรรดาลูกศิษย์ที่มีอายุมากกว่าหลายปี
.
อยู่ที่นี่ด้วยวัยเพียง 17 ปีเขาถูกล้อเลียนเสมอว่าแค่เรื่องจูบผู้หญิงก็ยังไม่เคยทำ
.
เขาอยู่ที่ rice เพียง 8 เดือนจึงเข้าศึกษาที่ ฮาวาด ลอ สคูล แต่รอบนี้ไม่ทราบสาเหตุของการลาออกของเขาในช่วงเทอมสุดท้ายและเขาก็ไม่ได้รับปริญญาด้านกฎหมายด้วย
.
เมื่อความทราบถึงพ่อแม่ของเขาเขาถึงกับโกรธจัดมาก และบอกกับคนอื่นว่า ลูกของตนไม่ได้เรียนหนังสือเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมันไม่เป็นความจริง
.
williams เขาเป็นคนที่ไม่ชอบสงครามและหลงใหลในเรื่องการเมือง เขาได้เข้าร่วมการชุมนุมวันแรงงานในบอสตันชุมนุมต่อต้านสงครามและชุมนุมเพื่อสิทธิงาน ซึ่งจัดโดยกลุ่มสังคมนิยมที่ชอบความรุนแรง วิลเลี่ยมเข้าร่วมชุมนุมประท้วงคัดค้านการเกณฑ์ทหาร การประท้วงครั้งนี้บานปลายเป็นการจลาจล วิลเลี่ยมถูกจับกุมตัว บอริสวิ่งเต้นช่วยลูกชายให้พ้นคุกภายใต้เงื่อนไขควบคุมความประพฤติและกักบริเวณเป็นเวลา 1 ปี
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้
.
ช่วงที่เขาถูกจับเข้าไปอยู่ในคุก และที่นี่เองเขาก็ได้พบรักกับ มาธา โฟลีย์ เด็กสาวชาวไอริส ในวัย 20 ปี
.
หลังจากนั้นเขาก็ติดตาม มาธ่า ไปที่นิวยอร์ก william ได้จูบ มาธ่า แต่เขาสัญญาว่าจะไม่มีอะไรมากกว่านั้น
.
ไม่อาจทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ที่แน่ๆ williams พกรูปของเธอไว้ในกระเป๋า จนกระทั่งวันที่เขาตาย
.
มาธาได้แต่งงานกับนักเขียนคนหนึ่งและได้ร่วมก่อตั้งนิตยสารวรรณกรรมเรื่อง สตอรี่ ซึ่งเนื้อหาในเรื่องก็บันทึกความทรงจำของเธอนั่นเอง มันน่าแปลกใจที่เธอกล่าวถึง วิลเลี่ยม เพียงแค่บรรทัดเดียว เธอเรียกเขาว่าอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงและโศกนาฏกรรม เด็กชายคนแรกที่จ่ายค่าศาลให้ฉัน
.
ในปี 2468 หนังสือของวิลเลี่ยมที่อธิบายเรื่องอุณหภูมิศาสตร์ เขาได้อธิบายเรื่องของจักรวาลที่มุ่งหน้าไปสู่ความตายด้วยความร้อน .
.
ในหนังสือเรียนชื่อว่า the animate and the inanimation
.
เขาได้อธิบายเรื่องความเป็นไปได้ในการกลับทิศทางของจักรวาล
.
แต่น่าเสียดายไม่มีใครสนใจงานวิชาการของเขาเลย
.
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็หยุดเขียนเรื่องเกี่ยวกับฟิสิกส์คณิตศาสตร์และจักรวาลไปเลย
.
บั้นปลายชีวิต
วิลเลี่ยม หลบหน้าหลบตาหนีผู้คน
ในวัย 30 ปี william อาศัยอยู่ที่บอสตันและทำงานที่ต่ำต้อย โดยรับหน้าที่เป็นเสมียนในสำนักงาน เมื่อมีใครจำเขาได้ วิลเลี่ยมก็จะลาออกหนีไปหางานใหม่ แม้วิลเลี่ยมจะเอือมระอากับเรื่องตัวเลขแต่เขาก็ยังคงความหลงใหลในเรื่องภาษา วิลเลี่ยมเรียนรู้ภาษาอื่นๆ จนแตกฉานมากถึง 40 ภาษา
เขาก็เป็นศักยภาพความเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เทียบเท่ากับไอน์สไตน์ หรือเทียบเท่ากับมาร์โคนี่ ด้วย
.
ต่อมาเขาอยู่ที่ new york เขาได้รับทำงานเกี่ยวกับการใช้แรงงานต่างๆ และได้รับค่าจ้างเพียง 23 ดอลลาร์ต่ออาทิตย์
.
เขาปกปิดความอัจฉริยะจากเพื่อนร่วมงาน
.
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาไม่รับงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงและไม่ยอมใช้สติปัญญาที่เขามี
.
มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่การรถไฟต้องการช่างเขาให้แก้ปัญหาในระดับสูงทางเทคนิคแต่เจ้าหน้าที่คนนั้นพบว่าเขากำลังนั่งร้องไห้
.
william เขาบอกว่าเขาอดคิดเรื่องคณิตศาสตร์ไม่ได้
.
ในครั้งหนึ่ง หมอได้ว่าจ้างเขา เข้าแก้ปัญหาทางทันตกรรมโดยใช้ทักษะด้านคณิตศาสตร์ เพื่อช่วยในเรื่องการจัดฟัน เขาเสนอเงินให้วิลเลี่ยมสูงถึง 55,000 ดอลลาร์ แต่วิลเลี่ยมก็ปฏิเสธ
.
william เขาสารภาพกับป้าคนหนึ่งว่า ชีวิตของเขาไม่เคยถูกสอนแม้กระทั่งวิธีผูกเชือกรองเท้าเลย พ่อแม่ของเขาให้การศึกษาเขาที่ดี แต่พวกเขาล้มเหลวในเรื่องพื้นฐานการดูแลตัวเองให้เขา เรื่องสุขอนามัยประจำตัวเขาไม่ดูแลเลย เขาไม่อาบน้ำให้ผมจนปล่อยให้ผมมีกลิ่นเหม็นรุนแรง
.
พ่อของ williams เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดในสมองแตกในปี 2466 แต่เขาก็ไม่ไปร่วมงานเลย
.
william บอกว่าเขาไม่ต้องการพบพ่อแม่ของเขาอีกแล้ว สาเหตุเพราะว่าเขาใช้วิธีการครอบงำเขาตั้งแต่เด็ก
.
halena ผู้เป็นน้องสาวของวิลเลี่ยม บอกว่าพ่อของเขาเหนื่อยหน่ายกับวิลเลี่ยมจนไม่อยากสอนเธอ เธอจึงได้รับการศึกษาที่ไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็ตามเธอได้ความรู้ ไก้รับคำสั่งสอนดีๆ จากผู้เป็นพี่ชาย เขาคือ วิลเลี่ยม นี่เอง
.
williams สอนให้น้องสาวหัดอ่านหัดเขียน จนเธอสามารถผ่านการทดสอบและเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้
.
ลมหายใจสุดท้าย
.
วันที่ 13 กรกฎาคม 2487 เจ้าของบ้านเช่าของวิลเลี่ยม
พบเขาอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มืดมิดมี wallpaper เก่าๆ เขาใช้ชีวิตที่นี่รวมๆ แล้วประมาณ 5 ปีโดยที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสนใจและไม่ได้รับการดูแลใดๆเลย
.
สภาพสุดท้ายของเขาคือคนที่มีน้ำหนักมากจนเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง เขาหมดสติในหอพักเล็กๆ
.
เขาเสียชีวิตแบบคนอนาถาตามลำพังในห้องเช่าในเมืองบอสตัน ด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองแตก และนำไปสู่โลกปอดบวมจนถึงแก่ชีวิต เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1944
.
เรื่องของเขาถูกฝังไว้กับพ่อของเขาใน รัฐนิวแฮมเขียร์ ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ เมื่อครั้งมีชีวิตไม่ค่อยลงรอยกัน
.
หลายคนมองว่า william ถูกกดดันมากเกินไปจากครอบครัว
.
ขอบขอบคุณ
กระทู้จากพันทิพโดย คุณ มิสเตอร์ เทอแรน 20 ตุลาคม 2556 และ
YouTube ช่องอับดุล thai tube และ
YouTube ช่องjoe scott และ
YouTube ช่อง newsthink และ
YouTube ช่อง today i found out
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น