วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปิรามิด มีไว้ทำไม ...? ใช้ฝังศพจริงหรือ? แล้วการวิจัยกว่า 20 ปี เขาเจออะไร ?

 ปิรามิด มีไว้ทำไม ...? ใช้ฝังศพจริงหรือ? แล้วการวิจัยกว่า 20 ปี เขาเจออะไร ?

.

สนใจสาระ ความรู้คู่ความบันเทิง ฝากกดติดตามในช่องนี้ได้เลยนะคับ

ขอบพระคุณสำหรับการกดไลค์ กดติดตามครับ

.

ปิรามิด ตั้งตระหง่านมาเป็นเวลานานกว่า 40 ศตวรรษแล้ว มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของอียิปต์มันสง่างาม ท้าทายแสงตะวัน แสงเดือน และหมู่ดาวที่ทอแสงระยิบระยับ บนชายฝั่งที่ราบลุ่มด้านตะวันตก ตามแนวแม่น้ำไนล์ อันเป็นสายเลือดใหญ่ที่หล่อ เลี้ยงชาวอียิปต์มา นักอียิปต์วิทยา บางกลุ่มกล่าวกันว่า ปิรามิดเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงความเป็นอมตะของฟาโรห์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เสมือนหนึ่งเทพเจ้า  

.

คำถามที่ยังคาใจ


สิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวนี้ สร้างขึ้นมาได้อย่างไร

วัสดุก่อสร้างนำมาจากไหน ? เทคโนโลยีในการสร้างเลียนแบบมาจากใคร ? สร้างขึ้นในสมัยใด ? และมีจุดมุ่ง หมายอย่างไร ? หรือว่าคำตอบปริศนาเร้นลับทั้งหลาย ยังฝังอยู่ใต้ทะเลทรายแถบ นั้น จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีใครทราบคำตอบที่แท้จริงเลย มีแต่เพียงคำกล่าวอ้างตามข้อสันนิษฐานของคนโบราณที่เล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น

.

ข้อเท็จจริงที่สถาปนิกและวิศกรรุ่นใหม่ ที่ค้นพบก็คือว่า การวางฐานการก่อสร้าง เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านทั้ง 4 หรือมุมยกจากฐานไปยังยอด ตรงตามหลักคณิตศาสตร์ ซึ่งพีทาโกรัส  นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวกรีก ค้นพบในเวลาต่อมาทุกประการ ในการขุดเจาะหินคงจะแยกกัน 3 จุด เพื่อเตรียมหินสำหรับก่อสร้างปิรามิด  บริเวณฐานตรงกลางใช้หินทรายก่อเป็นแกนกลางและหินปูนที่ส่องแสงแวววาวนั้น นำมาจากเมืองตูรา ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศใต้ของเมืองไคโร 48 กม.

.

แต่เดี๋ยวก่อนนะ มันมีข้อเสนอใหม่ที่น่าสนใจกว่านั้น แล้วมีหลักฐานมารองรับขึ้นมาใหม่ๆ ด้วยนะ

-

ในมุมของ นักสำรวจยุคใหม่ ปิรามิด ถูกสร้างมา มันดูไม่เหมือนการสร้างมาเพื่อทำหลุมศพ หิน จำนวนมากถึง 2.5 ล้านก้อน  หนัก 6 ล้านตัน สูง 146 เมตร   กินพื้นที่ประมาณ 33 ไร่  มันถูกจัดวางให้มีความห่างเพียง 15 องศาจากเส้นแบ่งทิศเหนือ มัน แม่นยำเหลือเชื่อ มันคือ งานทางวิศวกรรมที่โคตรแม่นยำ คลาดเคลื่อนน้อยมาก  ทุกอย่างจัดวางอย่างลงตัวแบบเป๊ะๆ  ในแต่ละด้านการเรียงก้อนหิน มีความถูกต้องถึง 99.98% จริงๆ แล้ว มันไม่ได้มี 4 ด้านอย่างที่เราเห็น  แต่มันมีร่องตรงกลาง ในแต่ละด้านด้วย กลายเป็นปิรามิดแปดเหลี่ยม  มีการจัดวางเหลี่ยมอย่างลงตัว 


เดิมที เชื่อว่า ภายนอกของปิรามิดนั้นถูกเคลือบด้วยหินชนิดหนึ่งที่มีสีขาวสว่าง ซึ่งหินปูนตัวนี้ถูกนำมาจากพื้นที่อื่นห่างไกลถึง 500 ไมล์  มันประกอบด้วย แมกนีเซียม มันคือ ตัวนำไฟฟ้าอย่างดี  ด้านในปิรามิดจึงเต็มไปด้วยหินแกรนิต ชนิดที่หายากเรียกว่า โรส แกรนิต  

.

โรส แกนิต ประกอบไปด้วยซิลิคอนไดออกไซด์เข้มข้น  หรือ ที่เรารู้จักคือ ควอตซ์  เมื่อมันถูกบีบอัดมากๆ มันจะมีประจุ piezoelectricity หินชนิดนี้ข้างหนึ่งมีประจุบวกอีกข้างหนึ่งมีประจุลบ ซึ่งเหมาะกับวงจรไฟฟ้ามาก   มันเป็นวัสดุที่ใช้ในการทำ นาฬิกา ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วย

.

ในปิรามิดห้องของราชินีและราชา ถูกสร้างขึ้นด้วยหินโรสแกรนิต ที่มีขนาด 85 ควอตซ์ มีช่องทางเดินด้านหนึ่งที่เรียงรายต่อๆ กัน  ทำไมต้องทำช่องต่อๆ กัน  มันน่าสงสัย

.

ความพิเศษของหินพวกนี้คือ หากสร้างแรงดันบางอย่างให้กับหินพวกนี้ มันจะสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาทันที นั่นหมายถึงว่ามันจะเปลี่ยนจากปิรามิดเป็น โรงกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่  ใช่แล้ว นี่คือ มุมมองใหม่

.

คำถามคือ แล้วจะพิสูจน์ได้ยังไงล่ะ

.

ความเห็นของ นักฟิสิกส์นาซ่า

นักฟิสิกส์ของ NASA ชื่อของเขาคือ Freedom Froy สิ่งที่เขาได้สรุปและพิสูจน์แล้ว และภายในห้องทดลองของเขาในการทดลองก็คือ หิน เมื่อมันถูกกดดัน มันจะปล่อยพาหะประจุบวกทั้งหมดออกมา ซึ่งพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ เขาบอกว่าโลก เปลือกโลก เมื่ออยู่ภายใต้ความดัน จะกลายเป็นแบตเตอรี่ จริงๆ แล้ว เรามีแบตเตอรี่ที่มีศักยภาพอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา ดังนั้น จุดประสงค์ของปิรามิด ในความคิดของฉัน คือการดึงดูดอิเล็กตรอนจากแบตเตอรี่นั้น และแผ่พวกมันออกไปแบบไร้สาย

.

ส่วนชายคนนี้ ก็คิดเหมือนกัน เขาคือ คริสโตเฟอร์ ดันน์ แต่คนนี้ ลุยกว่า ถึงขั้นวิจัยมา 20 ปี มาดูกัน

.

ความคิดที่ว่าปิรามิดนั้น เป็นโรงไฟฟ้าถูกเสนอมาในปี 1970 และมันก็เริ่มมีหลักฐานปรากฏที่แน่ชัดขึ้นมาเรื่อยๆ  

.

คริสโตเฟอร์ ดัน เขาชื่อว่าขบวนการผลิตไฟฟ้าเริ่มจากชั้นล่างสุดที่ห้องใต้ดินซึ่งเป็นชั้นหิน มันมีธารน้ำไหลผ่าน โพรง ซึ่งจุดนี้เองมันจะสร้างคลื่นเสียงกระจายไปทั่วทุกโพรงใต้ปิรามิด  พลังงานความถี่ของเสียง จะเข้ากันกับ การสั่นสะเทือนตามธรรมชาติของโลก  คลื่นเสียงจะช่วยขยาย  และแปลงเป็นพลังงาน

.

ห้องราชินีเป็นห้องที่ถูกใช้ในการสร้างปฏิกิริยาของไฮโดรเจน  มันมีข้อพิสูจน์จะมาพวกนี้ คือเราค้นพบว่ามีช่องสองอัน ที่นำไปสู่ห้องของราชินี  เราด้านทิศเหนือ มีกรดไฮโดรคลอริก  ส่วนทางใต้มี zinc chloride  แน่นอนว่าถ้าสาร 2 ตัวนี้เกิดการรวมกัน มันจะสร้างไฮโดรเจนขึ้นมา

.

ไฮโดรเจนจะไหลจากห้องของราชินีไปที่ ห้องแกรนด์แกลลอรี่ ซึ่งผนังของห้องนี้ก็เป็นหินแกรนิต  การ์ดไฮโดรเจนจะสร้างแรงกดดันต่อหินแกรนิตทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า  มันยังแตกตัวเป็นไออ้อนด้วย ซึ่งจะเพิ่มการนำไฟฟ้าภายในห้อง แกรนด์แกลลอรี่ ภายในห้องแกรนด์แกลอรี่จะมีตัวสะท้อนเสียง 27 หรือ 28 คู่  ที่จะคอยรับแรงสั่นสะเทือนของเสียง  ทำให้เกิดการรวมตัวอะตอมของไฮโดรเจน เครื่องเสียงพวกนี้ก็จะช่วยกระตุ้นให้หินแกรนิตยิ่งสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาเพิ่มด้วย

.

มาฟังกันต่อ  บทสัมภาษณ์คุณคริสโตเฟอร์ ดัน ในรายการ the Joe Rogan experience.


พิธีกรได้กล่าวว่าผมรู้ว่า  คุณมีทฤษฎีเกี่ยวกับปิรามิด ที่น่าสนใจมาก ที่นี้มาดูในส่วนที่เป็นห้องของราชา พร้อมกับมีข้อความมากมาย ที่สั่งไว้ตรงทางเข้า คุณคิดว่าตรงนี้ มันคืออะไรกันแน่ครับ

.

คริสโตเฟอร์ ดันน์ เขาตอบว่า จริงๆ แล้วผมได้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียดนะครับ อยู่ในหนังสือเล่มแรกของผมซึ่งออกเมื่อปี 1998  ผมใช้คำว่าโรงไฟฟ้ากิซ่า   ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 ของผม มันได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้คำว่าแหล่งรวบรวมอิเล็กตรอน ก็ลองคิดดูง่ายๆ ครับ

ถ้าคุณเห็นโรงไฟฟ้า คุณก็จะนึกถึงปล่องที่มีควัน มีไอน้ำออกมา หลายคนก็จะติดภาพว่า มันเป็นโรงงานไฟฟ้า ที่ไม่สะอาด ดูน่ารังเกียจ มีควันพิษ แต่สำหรับโรงไฟฟ้าที่เป็นประจุอิเล็กตรอน มันจะแตกต่างไปมาก มันปราศจากมลภาวะ มันสะอาด และมันไม่ได้ทำกันง่ายๆ

.

พิธีกรถามว่า แล้วอะไรคือเครื่องเก็บเกี่ยวอิเล็กตรอนที่คุณว่า

.

คริสโตเฟอร์ ตอบว่า จริงๆแล้ว ตรงนี้มันเป็นที่เก็บประจุอิเล็กตรอน โดยที่ไม่ได้สร้างมันขึ้นมานะ 

.

พิธีกรถามว่า แล้วส่วนที่สร้างไฟฟ้าขึ้นมาล่ะ มันต้องมีช่องมีน้ำมาปั่นหรือไม่คุณมีรูปมาโชว์ไหม

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า มีสิ ผมมีมาให้ดู ถ้าคุณดูในส่วนของห้องที่เก็บพระศพ ตรงนี้มันจะมีทั้งช่อง ทางทิศเหนือและช่องทางทิศใต้ และมันก็จะมีช่องที่มองเห็นดวงดาวด้วย แต่เดิมทีปิรามิดไม่ใช่ทรงนี้นะ คาดว่าก่อนหน้านี้มันจะมีหินปูนแบบแผ่นเรียบเคลือบหน้าไว้อีกชั้นหนึ่ง มันดูเงางามและแวววาวมาก มันมีหน้าที่คอยสะสมแสงที่ส่องลงมา แต่ตอนนี้มันพังทลายไปหมดแล้ว 

.

พิธีกรถามว่า คุณคิดว่าช่องที่ไว้มองดวงดาวแต่ไม่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า มันน่าแปลกใจมากที่ชาวอียิปต์โบราณมีการออกแบบโดยการร้อยสาย 2 เส้นเข้ามาในห้อง 1 แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อมต่อกับห้องนั้น ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่ามันมีอยู่นะ ในปี 1872  เวแมน ดิกสัน  เขาได้ไปสำรวจ ก็เคยเจอว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งประมาณ 5 นิ้วที่มีคนเอาหินนั้นออกไปเขาเลยลองเอาไม้เท้าแหย่ข้าไปดู  เขาลองแหย่เข้าไป ก็มีลักษณะเหมือนไม่มีอะไรจะต้านทานไม้ของเขาเลย คือมันทะลุลงไปเรื่อยๆ 

ก่อนหน้านั้น way man เขาก็ได้รับรายงานมาว่ามีรอยแตกอยู่แล้ว  ต่อมาบิว แกรนดี้ ก็มีการนำค้อนกับสิว มากะเทาะรอบๆ  เขาก็ทำแบบนี้เหมือนกันกับห้องเหนือของห้องพระศพพระราชา  แต่ตอนนี้หลักฐานมันชัดเจนมาก เพราะว่าเขาใช้เครื่องสแกนในการสแกนปิรามิด โดยใช้ Muon tomography พวกเขาพบว่ามันมีช่องว่างขนาดใหญ่เหนือห้องแกลลอรี่ใหญ่ อยู่ทางขวา  

.

พิธีกรถามว่า มันยาวกว่าห้องของกษัตริย์ใช่ไหม

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า ใช่เลยมันยาวกว่า ก็ประมาณขนาดของห้องโดยสารบนเครื่องบินโบอิ้ง 707  มันมีชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งที่ฉันเคยเสนอคือ ช่องทางทิศเหนือ  มันจะมีท่อชิ้นหนึ่ง มีลักษณะคล้ายท่อนำคลื่นไมโครเวฟ ขนาดของมันมีค่าเท่ากับความยาวคลื่นของไฮโดรเจน   มันดูเหมือนเขากำลังส่งขึ้นไมโครเวฟหรือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง  โดยส่งผ่านหลอดหรือเครื่องนำทางคลื่น  ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่มันซับซ้อนมาก 

.

ผมมุดเข้าไปที่ห้องของราชินี และลองวัดระยะ มันลงตัวกับความยาวคลื่นไฮโดรเจนนะ ผมว่ามันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น ห้องของราชินีมันจะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส  มันมีลักษณะเหมือนเขาต้องการ มำการรวบรวมพลังงาน โดยการ เอาคลื่นไมโครเวฟมาเร่งปฏิกิริยาเรือนกระจก ให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากไฮโดรเจนและกลายเป็นพลังงานที่สูงกว่า  แล้วก็บังคับมันไปที่แกนกลาง

.

พิธีกรถามว่า แล้วกาซไฮโดรเจนที่คุณว่าเนี่ย มันมาจากไหน มันเป็นชนิดไหน

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า อยู่ในห้องราชินี แต่มันไม่ได้มาในรูปของไฮโดรเจนโดยตรงนะ  มันมาในรูปแบบของการผสมสารเคมีกัน สองอย่าง ซึ่งมีอยู่ในทฤษฎีของโรงไฟฟ้า พวกเขากลั่นไฮโดรเจนออกมา มันไม่ได้มาจากนอกโลกนะ  ผมเชื่อว่ามันถูกผลิตและส่งไปยังช่องเหล่านั้น


-

ประวัติของ คริสโตเฟอร์ ดันน์


ข้อมูลประวัติของคริสโตเฟอร์ ดันน์

คริสโตเฟอร์ ดันน์มีประสบการณ์มากมายในฐานะช่างฝีมือ โดยเริ่มต้นอาชีพในฐานะลูกมือในบ้านเกิดของเขาที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เขาทำงานในบริษัทผลิตเครื่องบิน และอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1969 ในช่วง 49 ปีที่ผ่านมา คริสทำงานในทุกระดับของการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่ช่างเครื่อง ช่างทำเครื่องมือ โปรแกรมเมอร์และผู้ควบคุมเลเซอร์อุตสาหกรรมกำลังสูง วิศวกรโครงการ และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเลเซอร์ ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของผู้ผลิตเครื่องบินในแถบมิดเวสต์

.

การเดินทางสำรวจปิรามิดของคริสเริ่มขึ้นในปี 1977 หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือ Secrets of the Great Pyramid ของปีเตอร์ ทอมป์กินส์ ปฏิกิริยาตอบสนองทันทีของเขา หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับความแม่นยำ และลักษณะเฉพาะของการออกแบบปิรามิด คือการพิจารณาว่าสิ่งก่อสร้างนี้อาจมีจุดประสงค์ดั้งเดิมที่แตกต่างจากความคิดเห็นทั่วไป หลังจากการวิจัยเพิ่มเติม และศึกษาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ คริสโตเฟอร์


สรุปได้ว่าเดิมทีแล้วจะต้องมีการสร้างสิ่งนี้ขึ้นเพื่อจัดหาพลังงานให้กับสังคมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง กล่าวโดยสรุป เครื่องจักรนี้ก็คือเครื่องจักรขนาดใหญ่ การค้นพบจุดประสงค์ของเครื่องจักรนี้และการบันทึกกรณีของเขาใช้เวลาค้นคว้าเกือบ 20 ปี และหลังจากที่หนังสือของคริสเรื่อง “The Giza Power Plant: Technologies of Ancient Egypt” ตีพิมพ์ในปี 1998 ซึ่งบรรยายถึงอุปกรณ์พลังงานองค์รวมที่เชื่อมโยงอย่างกลมกลืนกับโลกและผู้อยู่อาศัย


คริสได้ตีพิมพ์บทความในนิตยสารมากกว่าสิบฉบับ รวมถึงบทความเรื่อง “Advanced Machining in Ancient Egypt” ที่ถูกอ้างถึงบ่อยครั้งในนิตยสาร Analog ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2527 และงานวิจัยของเขายังถูกอ้างอิงในหนังสือเกี่ยวกับอียิปต์มากกว่าสิบเล่ม ในสหรัฐอเมริกา เขาปรากฏตัวในรายการ PAX Television, Travel Channel, Discovery Channel, The Learning Channel, Lifetime Television และล่าสุดในรายการ Ancient Alien ตอน “The Evidence” ทางช่อง History Channel

.

หนังสือเล่มที่สองของคริส ชื่อว่า “Lost Technologies of Ancient Egypt: Advanced Engineering in the Temples of the Pharaohs” ได้รับการตีพิมพ์โดย Inner Traditions/Bear & Company ในเดือนมิถุนายน 2010 ในงานนี้ คริสเน้นที่ประเด็นสำคัญของการวิจัยของเขาเกี่ยวกับความสามารถในการผลิตของชาวอียิปต์โบราณ และผ่านสายตาและกล้องของวิศวกรของเขา เปิดเผยให้ผู้อ่านเห็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมและเวทมนตร์การผลิตของอียิปต์ที่มองข้ามไปก่อนหน้านี้


ผลงานอันก้าวล้ำของคริสโตเฟอร์ ดันน์ไม่ได้หยุดอยู่ที่มหาปิรามิด เขาสำรวจปรากฏการณ์ที่คล้ายกันในสิ่งก่อสร้างโบราณอื่นๆ ทั่วโลก โดยแนะนำเครือข่ายสถานที่ควบคุมพลังงานทั่วโลก สมมติฐานของเขาเชื่อมโยงความสำเร็จทางเทคโนโลยีของอียิปต์โบราณกับแนวคิดเชิงปฏิวัติของนิโคลา เทสลา ผู้จินตนาการถึงการส่งพลังงานแบบไร้สาย การเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีในอดีตและอนาคตนี้เน้นย้ำถึงการแสวงหาเวลาเหนือกาลเวลาในการควบคุมพลังธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ


โดยสรุป การสำรวจมหาปิรามิดของคริสโตเฟอร์ ดันน์ ท้าทายให้เราขยายความเข้าใจเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณและความสามารถทางเทคโนโลยีของพวกมัน ทฤษฎีของเขาได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยที่เข้มงวดและการเคารพอย่างลึกซึ้งต่อความลึกลับในอดีต นำเสนอมุมมองที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอนาคตที่อาจเกิดขึ้นของเรา




ขอขอบคุณ

nextlevelsoul.com

youtube  channel :: The why files.

nectec.or.th

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

10 ปรากฏการณ์ลึกลับที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้

 10 ปรากฏการณ์ลึกลับที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้




 จิตสำนึกของมนุษย์ (Human Consciousness)


จิตสำนึกถือเป็นหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์ แม้ว่าเราจะเข้าใจกลไกการทำงานของสมองในระดับหนึ่ง แต่คำถามที่ว่า "ทำไมเราถึงมีความรู้สึกนึกคิด?" และ "จิตสำนึกเกิดขึ้นได้อย่างไร?" ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน


นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน โดยมีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายการเกิดจิตสำนึก เช่น ทฤษฎีควอนตัมของจิตสำนึก (Quantum Theory of Consciousness) ที่เสนอโดย Roger Penrose และ Stuart Hameroff ซึ่งเสนอว่าจิตสำนึกเกิดจากปรากฏการณ์ควอนตัมในท่อไมโครทูบูลในเซลล์สมอง 


อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ว่าทำไมการทำงานของเซลล์ประสาทและสารเคมีในสมองถึงก่อให้เกิดประสบการณ์เชิงอัตวิสัย ความรู้สึกนึกคิด และการรับรู้ตัวตน ปัญหานี้ถูกเรียกว่า "Hard Problem of Consciousness" โดยนักปรัชญา David Chalmers


นอกจากนี้ยังมีคำถามที่น่าสนใจอื่นๆ เกี่ยวกับจิตสำนึก เช่น:

- จิตสำนึกมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือไม่? 

- เครื่องจักรหรือ AI สามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่?

- จิตสำนึกเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของจักรวาลหรือไม่?


การที่เรายังไม่เข้าใจจิตสำนึกอย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดคำถามทางปรัชญาและจริยธรรมมากมาย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


 ปรากฏการณ์ลูกบอลฟ้าผ่า (Ball Lightning)


ลูกบอลฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาคำอธิบายได้ยาก มีลักษณะเป็นลูกไฟกลมที่ลอยอยู่ในอากาศ มีขนาดตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางไม่กี่เซนติเมตรไปจนถึงหลายเมตร และสามารถคงอยู่ได้นานหลายวินาทีถึงหลายนาที ซึ่งแตกต่างจากฟ้าผ่าทั่วไปที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ


มีรายงานการพบเห็นลูกบอลฟ้าผ่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยผู้พบเห็นมักรายงานว่า:

- ลูกบอลฟ้าผ่าสามารถลอยผ่านกำแพงหรือหน้าต่างได้โดยไม่ทำลายสิ่งกีดขวาง

- บางครั้งเคลื่อนที่ตามกระแสลม แต่บางครั้งก็เคลื่อนที่สวนทางกับลม

- เมื่อหายไปอาจเกิดเสียงดังคล้ายระเบิดหรือหายไปอย่างเงียบๆ

- บางครั้งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและเป็นอันตรายต่อชีวิต


แม้จะมีการบันทึกภาพและวิดีโอของปรากฏการณ์นี้ แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายกลไกการเกิดได้อย่างชัดเจน มีทฤษฎีต่างๆ มากมายที่พยายามอธิบาย เช่น:

- การเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างซิลิกอนที่ถูกฟ้าผ่ากับออกซิเจนในอากาศ

- การเกิดพลาสมาที่มีความหนาแน่นต่ำและมีการหมุนวน

- การเกิดการเรืองแสงของแก๊สที่ถูกไอออไนซ์


อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถอธิบายคุณสมบัติทั้งหมดของลูกบอลฟ้าผ่าได้ การศึกษาปรากฏการณ์นี้ทำได้ยากเนื่องจาก:

- เกิดขึ้นแบบสุ่มและไม่สามารถคาดเดาได้

- มักเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ

- ยากที่จะทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ


 ความฝันและการนอนหลับ (Dreams and Sleep)


แม้ว่ามนุษย์จะใช้เวลาประมาณหนึ่งในสามของชีวิตไปกับการนอนหลับ แต่กระบวนการนี้ยังคงมีปริศนาอีกมากที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไขได้ โดยเฉพาะเรื่องความฝันและหน้าที่ที่แท้จริงของการนอนหลับ


 ความฝัน

คำถามสำคัญเกี่ยวกับความฝันที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน ได้แก่:

- ทำไมเราถึงฝัน?

- ความฝันมีความหมายหรือจุดประสงค์อะไรหรือไม่?

- ทำไมบางคนจำความฝันได้ดีกว่าคนอื่น?

- ทำไมความฝันถึงมักมีเนื้อหาแปลกประหลาดและไม่สมเหตุสมผล?


นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับหน้าที่ของความฝัน เช่น:

- ช่วยในการประมวลผลข้อมูลและความทรงจำ

- เป็นกลไกในการจัดการกับอารมณ์และความเครียด

- ช่วยในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์

- เป็นผลพลอยได้จากการทำความสะอาดสมองระหว่างการนอนหลับ


 การนอนหลับ

แม้จะทราบว่าการนอนหลับจำเป็นต่อการมีชีวิตรอด (สัตว์ทดลองที่ถูกทำให้อดนอนจะตายภายในไม่กี่สัปดาห์) แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมเราต้องนอน คำถามที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น:

- ทำไมสิ่งมีชีวิตจึงต้องใช้เวลาประมาณ 1/3 ของชีวิตในสภาวะเปราะบางเช่นนี้?

- ทำไมบางคนต้องการการนอนหลับมากกว่าหรือน้อยกว่าคนอื่น?

- อะไรคือกลไกที่แท้จริงที่ควบคุมการนอนหลับและการตื่น?


การค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับระบบน้ำเหลืองในสมอง (glymphatic system) ที่ทำงานอย่างแข็งขันระหว่างการนอนหลับเพื่อกำจัดของเสีย อาจเป็นคำอธิบายบางส่วนว่าทำไมเราต้องนอน แต่ก็ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด


 ความจำและความทรงจำ (Memory)


แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะเข้าใจกลไกพื้นฐานของการเก็บความทรงจำในระดับเซลล์ประสาท แต่ยังมีแง่มุมอีกมากมายเกี่ยวกับความจำที่ยังเป็นปริศนา


กลไกการจัดเก็บความทรงจำ

คำถามพื้นฐานที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน:

- สมองเก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างไร?

- ทำไมบางความทรงจำถึงชัดเจนมาก ในขณะที่บางอันเลือนราง?

- ความทรงจำถูกเก็บไว้ที่ใดในสมองกันแน่?

- ทำไมเราจึงลืมบางสิ่งบางอย่าง?


การศึกษาพบว่าความทรงจำไม่ได้ถูกเก็บเหมือนไฟล์ในคอมพิวเตอร์ แต่กระจายอยู่ในเครือข่ายเซลล์ประสาท และทุกครั้งที่เราระลึกถึงความทรงจำ มันจะถูก "เขียนใหม่" ซึ่งอาจทำให้รายละเอียดเปลี่ยนแปลงไป


ความทรงจำผิดพลาด

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความทรงจำ:

- ความทรงจำลวง (False Memory): คนเราสามารถมีความทรงจำที่ชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

- ผลกระทบแมนเดลา (Mandela Effect): ปรากฏการณ์ที่คนจำนวนมากมีความทรงจำผิดๆ เหมือนกัน

- การลืมแบบเลือก (Selective Forgetting): ทำไมเราจึงลืมบางสิ่งแต่จดจำบางสิ่งได้ดี


 ความจำอัจฉริยะ

มีคนบางกลุ่มที่มีความสามารถพิเศษในการจดจำ เช่น:

- Hyperthymesia: คนที่สามารถจำรายละเอียดของทุกวันในชีวิตได้

- Savant Syndrome: คนที่มีความสามารถพิเศษในการจดจำตัวเลขหรือข้อมูลเฉพาะด้าน

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงมีความสามารถพิเศษเช่นนี้


 พลังงานมืดและสสารมืด (Dark Energy and Dark Matter)


หนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการดาราศาสตร์คือการค้นพบว่าสิ่งที่เราเห็นและรู้จัก (ดาว ดาวเคราะห์ กาแล็กซี่ ฯลฯ) คิดเป็นเพียง 5% ของจักรวาลเท่านั้น ที่เหลืออีก 95% ประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่าพลังงานมืดและสสารมืด


พลังงานมืด (Dark Energy)

- คิดเป็นประมาณ 68% ของจักรวาล

- เป็นพลังงานลึกลับที่ทำให้จักรวาลขยายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ

- นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

- มีทฤษฎีมากมายพยายามอธิบาย เช่น พลังงานสุญญากาศ (vacuum energy) หรือพลังงานศักย์ของสนามควอนตัม


 สสารมืด (Dark Matter)

- คิดเป็นประมาณ 27% ของจักรวาล

- เป็นสสารที่เราไม่สามารถมองเห็นหรือตรวจจับได้โดยตรง

- รู้ว่ามีอยู่จริงเพราะผลกระทบทางแรงโน้มถ่วงที่มีต่อวัตถุที่มองเห็นได้

- นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาอนุภาคของสสารมืดมานานหลายทศวรรษแต่ยังไม่พบ


คำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบ:

- พลังงานมืดและสสารมืดคืออะไรกันแน่?

- ทำไมเราถึงไม่สามารถตรวจจับมันได้โดยตรง?

- มันมีความเกี่ยวข้องกับสสารธรรมดาอย่างไร?

- การค้นพบธรรมชาติที่แท้จริงของมันจะเปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับจักรวาลอย่างไร?


 ปรากฏการณ์คลื่นวิทยุเร็วสูง (Fast Radio Bursts - FRBs)


ปรากฏการณ์คลื่นวิทยุเร็วสูงเป็นการระเบิดของคลื่นวิทยุพลังงานสูงที่มาจากอวกาศ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นมาก (เพียงไม่กี่มิลลิวินาที) แต่ปลดปล่อยพลังงานมหาศาลเทียบเท่ากับพลังงานที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมาในระยะเวลาหลายวัน


ลักษณะที่น่าสนใจของ FRBs:

- ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วหายไป

- บางครั้งเกิดซ้ำจากตำแหน่งเดิม

- มาจากระยะทางไกลมาก (หลายพันล้านปีแสง)

- มีรูปแบบสัญญาณที่ซับซ้อนและแตกต่างกัน


ทฤษฎีที่พยายามอธิบายที่มาของ FRBs:

- การระเบิดของดาวนิวตรอน

- การรวมตัวของดาวนิวตรอน

- กิจกรรมของหลุมดำ

- สัญญาณจากอารยธรรมต่างดาว (แม้จะเป็นไปได้น้อย)


อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถอธิบายคุณสมบัติทั้งหมดของ FRBs ได้อย่างสมบูรณ์






 ปรากฏการณ์ควอนตัมพัวพัน (Quantum Entanglement)


ควอนตัมพัวพันเป็นปรากฏการณ์ในกลศาสตร์ควอนตัมที่อนุภาคสองอนุภาคหรือมากกว่านั้นมีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่สถานะควอนตัมของอนุภาคหนึ่งไม่สามารถอธิบายได้โดยแยกจากอีกอนุภาคหนึ่ง แม้ว่าอนุภาคเหล่านั้นจะถูกแยกออกจากกันด้วยระยะทางที่ไกลมากก็ตาม


ลักษณะที่น่าประหลาดของควอนตัมพัวพัน:

- การวัดสถานะของอนุภาคหนึ่งจะส่งผลทันทีต่อสถานะของอนุภาคที่พัวพันกัน

- ดูเหมือนจะละเมิดหลักการที่ว่าไม่มีอะไรเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง

- Einstein เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "spooky action at a distance"


คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ:

- กลไกที่แท้จริงของการส่งผ่านข้อมูลระหว่างอนุภาคที่พัวพันกันคืออะไร?

- ทำไมและอย่างไรที่อนุภาคสามารถ "รู้" สถานะของอนุภาคอื่นได้ทันที?

- ควอนตัมพัวพันมีบทบาทอย่างไรในระดับมหภาค?



 ปรากฏการณ์พลาซีโบ (Placebo Effect)


ปรากฏการณ์พลาซีโบเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาหลอกหรือการรักษาหลอก เพียงเพราะเชื่อว่าการรักษานั้นจะได้ผล แม้ว่าจะมีการศึกษามากมายเกี่ยวกับผลพลาซีโบ แต่กลไกที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนา


ลักษณะที่น่าสนใจของผลพลาซีโบ:

- สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้จริง

- มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

- ทำงานแม้ผู้ป่วยจะรู้ว่าได้รับยาหลอก

- ความเชื่อและความคาดหวังมีผลต่อประสิทธิภาพ


คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ:

- กลไกทางชีววิทยาที่แท้จริงคืออะไร?

- ทำไมบางคนตอบสนองต่อพลาซีโบดีกว่าคนอื่น?

- จะใช้ประโยชน์จากผลพลาซีโบในการรักษาอย่างไร?


เสียงประหลาดทั่วโลก (Global Hum Phenomenon)


ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 มีผู้คนทั่วโลกรายงานการได้ยินเสียงครางต่ำๆ คล้ายเครื่องยนต์ที่ทำงานอยู่ห่างๆ เรียกว่า "The Hum" โดยมีลักษณะดังนี้:


ลักษณะของเสียง:

- เป็นเสียงความถี่ต่ำ (20-40 Hz)

- ได้ยินชัดเจนในเวลากลางคืน

- ประมาณ 2-4% ของประชากรสามารถได้ยิน

- บางคนรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนร่วมด้วย


ทฤษฎีที่พยายามอธิบายสาเหตุ:

- คลื่นเสียงจากอุตสาหกรรม

- การสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก

- ผลกระทบจากสนามแม่เหล็กโลก

- ปัญหาทางการได้ยินเฉพาะบุคคล


แม้จะมีการศึกษามากมาย แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้


ความฝันร่วม (Shared Dreams)


มีรายงานมากมายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่คนสองคนหรือมากกว่านั้นมีความฝันที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะในกรณีของฝาแฝดหรือคนที่มีความผูกพันกันใกล้ชิด


ลักษณะของความฝันร่วม:

- ผู้ฝันสามารถอธิบายรายละเอียดที่ตรงกัน

- บางครั้งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

- มักเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญหรือความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝัน


ความท้าทายในการศึกษา:

- ยากที่จะพิสูจน์ในห้องปฏิบัติการ

- อาจเป็นการตีความหรือจินตนาการร่วมกัน

- ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน


แม้จะมีรายงานมากมาย แต่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายว่าความฝันร่วมเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเป็นเพียงความบังเอิญหรือการตีความที่ผิดพลาด


สรุป:  10 ปรากฏการณ์ที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่ายังมีสิ่งอีกมากมายในโลกและจักรวาลที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเทคโนโลยีและความรู้ของมนุษย์จะก้าวหน้าไปมาก แต่ก็ยังมีปริศนาอีกมากที่รอการค้นพบและการอธิบาย ซึ่งทำให้การศึกษาวิทยาศาสตร์ยังคงน่าตื่นเต้นและท้าทายอยู่เสมอ


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

หลิวเต๋อหัว ราชาแห่งภาพยนตร์จีน



 ชายคนนี้ เขาคือ  คนที่ได้รับยกย่องว่า เป็นราชาแห่งภาพยนตร์จีน

เขาคือ  คนที่ กินเนสบุ๊ค เวิลด์เรคคอร์ด บันทึกว่า เป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัลมากที่สุดของฮ่องกง

เขาคือ ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุด ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ของเกาะฮ่องกง

เขาคือ ชายที่ได้รับรางวัลที่ฮ่องกง ในฐานะผู้ทำรายได้รวมทะลุ 1 พันล้าน ดอลลาร์ฮ่องกง

เขาคือ นักแสดง ที่แสดงภาพยนตร์มากกว่า 200 เรื่อง

เขาคือ  ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็น ดารายอดนิยมแห่งเอเชีย

เขาคือ นักร้องชายเพลงจีน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี

เขาคือ 1 ใน 4  ราชาเพลงป๊อป บอยแบนด์ที่ฮอตสุดของฮ่องกง 

เขาคือ นักร้อง ที่ร้องเพลงมาแล้วมากกว่า 1000 เพลง

เขาคือ ตัวพ่อสุดเท่ห์ หนุ่มตี๋หน้าคม ลุคแบ๊ดแบ๊ด ดูร้ายร้าย แต่เท่ระเบิด ต้นกำเนิด ฮีโร่แก๊งส์เตอร์ ในภาพยนตร์ ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ปี 90  

เขาคือ คู่รักเซเล็บ ที่เก็บรักไว้อย่างมีปริศนา กว่า 2 ทศววรษ

---------------

และนี่คือ  หลิวเต๋อหัว  ชายที่ออกสตาร์ทจากความยากลำบาก สู่เจ้าพ่ออุตสาหกรรมบันเทิงทั่วทั้งเอเชียและทั้งโลก หลิว เต๋อหัว ( คือพยัคฆ์ตัวที่สี่ ) หนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ของวงการภาพยนตร์ ตั้งแต่ยุคปลายทศวรรษที่ 80 จนถึงปัจจุบัน  แฟนๆ ภาพยนตร์จะเรียกหลิว เต๋อหัว ว่า "หว๋าไจ๋" (แปลว่า นักเลง) เป็นชื่อเล่นของเขา หลิว เต๋อหัว ยังถูกยกย่องให้เป็น ไอคอนหรือสัญลักษณ์ หนังรักโรแมนติกแนว Badboy & Goodgirl อีกด้วย สำหรับในประเทศฟิลิปปินส์ หลิวเต๋อหัวได้รับฉายาว่าเป็น ricky chan 

-

หลิวเต๋อหัว   เขาเป็นผู้มียอดรายได้ภาพยนตร์ (Box Office) สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในรอบ 20 ปี (1985 - ถึง 2005)  วงการหนังฮอลลีวู้ดเปรียบเปรยว่า หลิว เต๋อหัว คือ ทอม ครูซ (Tom Cruise) แห่งเอเชีย เป็นหนึ่งใน 7 นักแสดงเอเชียยอดนิยมตลอดกาล   ไม่ได้เก่งแต่การแสดงเท่านั้น ร้องเพลงก็ไม่แพ้ใคร เขาเป็นนักร้องชายเอเชีย ที่ทำสถิติ ติดอันดับ 1 ใน 25 บิลบอร์ดชาร์ท  ของสหรัฐอเมริกา มาแล้ว กว่าจะเป็น  หลิวเต๋อหัว  แบบวันนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง สุดแสนเจ็บปวดสหัสแค่ไหน มารับชมกันครับ

--------------------------------

ต้นกำเนิด  หลิวเต๋อหัว

---------------------------------

หลิวเต๋อหัว หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Andy Lau ชื่อเดิมคือ หลิว ฟูหลง เป็นนักแสดง นักร้อง และโปรดิวเซอร์ชาวฮ่องกง ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ   บรรพบุรุษของเขา ย้ายมาจากจีนแผ่นดินใหญ่  เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน มีพี่น้องหลายคน เขาเกิดเมื่อ 27 กันยายน 1961 ที่เกาะฮ่องกง เขตนิวเทอริโทรี่  คุณพ่อของเป็นนักดับเพลิง ชื่อ คุณ หลิว หลี่ เขาเป็นลูกคนที่สี่ของครอบครัว 

-

จริงๆ แล้ว ต้นกำเนิดครอบครัวของเขา ค่อนข้างร่ำรวย เพราะปู่เขา เป็นเจ้าของที่ดินมากมาย ( แต่ไม่ทราบประเด็น ความขัดแย้งระหว่าง คุณปู่และคุณพ่อ ของหลิวเต๋อหัว )

-

คุณพ่อของเขา พากันย้ายมาอยู่ที่ เขตเกาลูนของฮ่องกง  เขาเปิดเป็นร้านอาหาร ในบ้านไม้เก่าหลังหนึ่ง  ความทราบถึงคุณปู่ ทำให้ปู่เขาโกรธมาก และแล้วพ่อของเขา ก็ถูกตัดจาก กองมรดกทันที แต่พ่อของเขา ก็น้อมรับ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ และกล่าวว่า คนเราไม่สามารถร่ำรวยได้ จากทรัพย์สินที่บรรพบุรุษตกทอดมาหรอก เราต้องขยันสร้างมันขึ้นมาเองถึงจะน่าภูมิใจกว่า 

-

หลิวเต๋อหัว และน้องชายของเขา  เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย  เป็นเด็กดี เขาช่วยพ่อแม่ ทำงานตั้งแต่เช้ามืด เขามีหน้าที่ในการหิ้วน้ำมาเตรียม เพื่อเปิดร้านขายข้าวต้มทุกวัน  เขาสอนให้ลูกรู้จัก หน้าที่ และ ความลำบาก พ่อของเขา  พ่อเขาเป็นนักดับเพลิง เขาได้ถ่ายทอด ความรู้ในการดับเพลิงให้ลูกชายทั้งสองคน แต่แล้ว...


------------------------------------

บทเรียนชีวิตที่โหดร้ายเริ่มต้นแล้ว

---------------------------------------

ในปี 1972  เกิดเหตุไฟไหม้บ้านไม้ของเขารุนแรงและรวดเร็ว เกินต้านทาน ทุกอย่าง หายไปกับกองเพลิง ไฟไหม้บ้านของคนดับเพลิง นี่มันอะไรกันชีวิต แต่พ่อเขาคิดบวก เขาบอกว่า ทางออกยังมีอีกมาก ขอแค่รอดชีวิตมาได้  ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร ทุกอย่างก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้  แต่ต่อมา ครอบครัวเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากบ้านพักของรัฐบาล


-------------------------------

เข้าสู่วงการแสดง

--------------------------------

ในวัย18 ปี ช่วงในวัยมัธยมศึกษา  หลิวเต๋อหัว เขาอยู่ชั้นมัธยม เขามีรูปร่างกำยำ แข็งแรง พลังมาก  เป็นนักกีฬาฟุตบอล รูปหล่อ ปราดเปรียวเพรียวลม เตะตาต้องใจสาวๆ อย่าง หลินอันฉี   นี่คือ รักแรกของ หลิวเต๋อหัว   แต่ สวรรค์ไม่เป็นใจนัก  บ้านของฝ่ายหญิงค่อนข้างมีฐานะ แต่ฝ่ายชาย ไม่มีอะไรเลย  เขาขีดเส้นตายให้ฝ่ายชาย สร้างฐานะให้ได้ใน 5 ปึ 

-

ในขณะนั้น หวงเย่อหวง เพื่อนเขา แจงใบปลิวให้ทีวีช่อง tvb   ซึ่งกำลังต้องการ ศิลปินฝึกหัด  หลิวเต๋อหัว จำเป็นต้องรีบคว้าโอกาส เพราะเขามีเวลาแค่ 5 ปีเท่านั้น คนรักของเขา รอเขาอยู่

-

เขาตัดสินใจ เข้าเรียนการแสดงโรงเรียนการแสดงค่ายโทรทัศน์ทีวีบี เขาเริ่มมีผลงานซีรีส์ทางโทรทัศน์ในปี 1981 มีโอกาสร่วมแสดงกับพระเอกซีรีส์ยอดนิยมแห่งยุค โจว เหวินฟะ ในเรื่อง ยาจกซู ไอ้หนุ่มหมัดเมา

-----------------------------

รักแรกก็แจกช้ำ

-------------------------------

4 เดือน ต่อมา แฟนสาวของเขา ก็โทรศัพท์ไปบอกเขา ให้มาเดินเล่นที่แถว ชานมือง ที่อากาศดีๆ บนภูเขาเล็กๆ  บรรยากาศลมเย็นแสนโรแมนติกด้วยกัน  เขาและเธอ ไปด้วยกัน ทุกอย่างดูดี ยกเว้นสีหน้าของเธอ และแล้วเธอก็บอก ขอเลิกกับหลิวเต๋อหัว  ฟ้าผ่ากลางใจเขาเต็มๆ นี่เลย  รักแรกก็แจกช้ำ  ภายหลังจึงทราบว่าแฟนใหม่ของเธอไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพื่อนของหลิวเต๋อหัว ในช่วงมัธยม นั่นเอง

.

เขาเจ็บปวด จากการปลูกต้นรัก ที่ไม่ได้รดน้ำ เขาเสียใจแต่ยังรักอยู่  ต่อมา วันที่ครบสัญยา 5 ปีมาถึง ในวันที่ 15 พฤษภาคม  ในวันนั้นเอง เขาก็ได้รับ การ์ดเชิญงานวันแต่งของ หลินอันฉี กับเพื่อนเขา  นี่คือ ดอก2 ตามติดติด  เขาตัดใจ และ เดินหน้าเข้าสู่งานแสดง ในภาพยนต์เรื่อง ใส่ความบ้าท้านรก  เพื่อนของเขาคือ หลินจื่อเสียง พระเอกในหนังเรื่องนี้ นี่เอง เขาชวน ให้ หลิวเต๋อหัว ไปเป็นนักร้อง เพราะหน่วยก้านดี หนังเปิดตัวรายได้ถล่มทลาย เขาเปิดนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม รางวัลมากันเพียบ 


ต่อมาก็มีงานต่อเนื่องมากมาย แต่ที่สร้างชื่อดังเป็นพลุแตก ก็คือการรับบทเ เป็น เอี้ยก้วย ในภาพยนตร์เรื่อง มังกรหยก  ตอนนี้ fc ทั้งเอเชียก็มากันเพียบเลย  1ในนั้นก็มี พี่ไทยด้วย

------------------

งานดี ความรักก็มา 

--------------------

เขาพบรักกับ เฉินอี้เหลียน ในการทำงาน  ซึ่งเธอรับบทเป็น เซียวเหล่งนึ่ง  แต่ เบรคก่อน เธอคือ แฟนของ โจเหวินฟะ ชายผู้เป็นไอดอลของ หลิวเต๋อหัวนี่เอง  เขาจึงตัดใจ

ต่อมา เขาก็ พบรักใหม่กับสาววัย 18 ที่ไต้หวัน แต่ คราวนี้ เขาโด่งดังมากจนไม่มีเวลาให้ใครเลย สุด ท้าย ต้องแยกทางกัน

.

ต่อมา เกิดการแยกตัวบริษัท ผู้บริหารต้นสังกัดบริษัทเก่าไม่พอใจ จึงสั่งยกเลิกงานเขาทั้งหมด เขาตกต่ำ จึงหันไปด้านการร้องเพลง  เขาขอให้เพื่อนเขาคือ  หลินจื่อเสียง สอนร้องเพลงให้  ในช่วงไม่มีงาน เขาฝึกปรือ จนดีวันดีคืน

------------------------

รักแท้ แต่พิสูจน์นาน

----------------------------

ปี  1896 เหล่าดาราฮ่องกง ยกทัพไปเตะฟุตบอลที่ มาเลเซีย เขาก็พบรักแท้กับสาวคนหนึ่ง เธอคือ  จูลี่ เฉียน หรือ แครอล ชู วัย 20 ปี เขาแลกเบอร์กันตอนจากลา  ผู้หญิงคนนี้ เขาคือ fc เต็ง1ของ หลิวเต๋อหัวตั้งแต่เรื่อง มังกรหยก  เขาคบหากันแต่เปิดเผยไม่ได้ 

.

ญาติของเขา  แครอล ชู  เส้นใหญ่ รู้จักมักคุ้นกับผู้บริหาร ชอ บราเดอร์  จึงสามารถให้  หลิวเต๋อหัว  กลับเข้าวงการภาพยนตร์ได้อีก   จริงๆแล้ว บ้านของคุณ  แครอล ชู  เข้าขั้นมีฐานะ มีเครือข่ายธุกิจขนาดใหญ่ แต่เธอไม่ค่อยแสดงออก ไม่ออกสื่อ รวยเงียบๆ และประหยัดมาก  

-

ต่อมาทั้งคู่ จูงมือเข้าพิธีแต่งงานที่ ลาสเวกัสสหรัฐอเมริกา หลังจากคบหากันเป็นเวลากว่า 25 ปี   นับเป็นเวลาที่พิสูจน์รักแท้  ที่ยาวนานมาก  หลิว เต๋อหัว ไม่เปิดเผยข้อมูลของภรรยาและลูกให้สื่อมวลชนรับรู้  เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของเธอและครอบครัว หลิวเต๋อหัว ไม่ชอบให้นักข่าวติดตามชีวิตส่วนตัวของเค้าเท่าไหร่

-

แต่ครั้งนี้ เขาเลือกจะเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยเดินจูงมือกันให้ทุกคนประจักษ์ นี่คือเวลาที่ลงตัว เพราะฝ่ายหญิงกำลังต้องการใครสักคน ที่ปลอบโยนในวันที่สูญเสีย พระเอกคนนี้ ก็ปรากฏตัวขึ้น พอดี

-

หลิว เต๋อหัว ออกมายอมรับได้แต่งงานกับ จู ลี่เชียน หรือ แครอล ชู  หลังจากที่คบหากันนานถึง 25 ปี 

-

  ต่อมา แครอล ชู ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก ชื่อ ฮันนา (หลิว เซียง ฮุ้ย) ในปีมังกรทอง พ.ศ. 2555 เป็นปีที่มีความเป็นสิริมงคลที่สุดของชาวจีน เด็กที่เกิดปีมังกรจะนำความโชคดีมาสู่ครอบครัว อีกทั้งเด็กจะมีความกล้าหาญและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด เพราะมังกรเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีนโบราณ

-

-------------------

ความดังที่ประเทศไทย

-------------------

ในประเทศไทย หลิว เต๋อหัว เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากภาพยนตร์ เรื่อง  ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ออกฉายในปี พ.ศ. 2533 ถึงสองรอบ รอบแรกฉายวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2533 ทำรายได้กว่า 18 ล้านบาท มีกระแสเรียกร้องให้นำกลับมาฉายใหม่ รอบ 2 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ทำเงินกว่า 5 ล้านบาท รวมรายได้ตลอดการฉายในโรงภาพยนตร์มากกว่า 23 ล้านบาท เป็นหนังทำเงินสูงสุดประจำปี 2533 ของประเทศไทย (ไม่นับรวมหนังกลางแปลง ที่ออกฉายต่อเนื่องยาวนานหลายปี) และในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ได้นำกลับมาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง ต่อมามีภาพยนตร์เรื่อง ยึดถนนเก็บใจไว้ให้เธอ ออกฉายปี พ.ศ. 2538 ทำเงินไปกว่า 40 ล้านบาท เป็นหนังทำเงินสูงสุดของเขาในไทยเป็นสถิติถึงทุกวันนี้

-

-----------------------------

นึกถึง  หลิว เต๋อหัว นึกถึงอะไร

---------------------------------

ตอบ  หลิว เต๋อหัว ถูกยกย่องว่า  เป็นผู้สร้างคาแรกเตอร์ หรือบุคลิกตัวละครที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวหนังแนว Heroic Gangster แต่เพียงผู้เดียว และเป็นเครื่องหมายการค้า (Trademark) ของเขาบนตลาดโลก

.

---------------------------

ดังขนาดนี้ ทำไม  หลิว เต๋อหัว ไม่ไป ฮอลลีวูด

---------------------------

เขาตอบว่า “ ผมจะไม่มีวันไปเล่นหนังฮอลลีวูดเป็นอันขาด เพราะถ้าไปเล่นหนังฝรั่งกันหมด แล้วใครจะพัฒนาหนังในบ้านเรา ” ได้ฟังอย่างนี้ นึกถึง จักรวาลไทบ้าน ขึ้นมาทันทีเลยครับ

-

ท้ายนี้ ขอฝากรบกวนกดติดตามด้วยจ้า

เจอกันใหม่ คลิปหน้าจ้า

--------------------


ขอขอบคุณ

awc618.com

ช่องยูทูป หลังม่านเศรษฐี

ช่องยูทูป การสังเกตการณ์ของไฮโซ

เพจ เก้ากระบี่เดียวดาย

รู้ได้อย่างไรว่าลูกคุณเด็กเป็นอัจฉริยะ และต้องเลี้ยงอย่างไร

 รู้ได้อย่างไรว่าลูกคุณเด็กเป็นอัจฉริยะ และต้องเลี้ยงอย่างไร

.


เด็กอัจฉริยะ หรือ Gifted Child คือ เด็กที่มีความฉลาดทางสติปัญญา ที่มากกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน เด็ก

อาจมีผลคะแนนไอคิวสูงถึง 130-140 ซึ่งถือว่าเป็นผลคะแนนที่สูงมากเลยทีเดียว

.

เด็กอัจฉริยะ จะมีพัฒนาการที่เร็ว สามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ซึ่งการเรียนรู้ของเขานั้นจะมากกว่า อายุจริงตัวเองไปอีก 2 ขวบปี เช่น เด็กอัจฉริยะที่อายุจริง 7 ขวบ สามารถทำข้อสอบหรือเข้าใจเนื้อหาการเรียนของเด็กปกติที่มีอายุ 9 ขวบได้ เท่ากับว่าอายุสมองของเขานั้นเท่ากับเด็กปกติ 9 ขวบ ทั้ง ๆ ที่อายุจริงของเด็กอัจฉริยะนั้นเพียงแค่ 7 ขวบ

.

เด็กอัจฉริยะ ที่มีพรสวรรค์พิเศษ บางคนแค่ได้ฟังตัวโน้ตจากการเล่นดนตรี เขาสามารถบอกตัวโน้ตได้ทันที เด็กเหล่านี้ จะแสดงพฤติกรรม ให้เห็นตั้งแต่ก่อนอายุ 2ขวบ

.

เด็กกลุ่มนี้ ในวัย 12ปี จะมีความสามารถเหนือกว่าผู้ใหญ่ในด้านใดด้านหนึ่งเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดนตรี หรือ ด้านอื่นๆ

.

เด็กอัจฉริยะ ราว3 ถึง 5% ไม่แสดงอะไรเลย จนกว่าเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยความตื่นเต้นที่เป็นพ่อแม่ ก็มีหลายคนอยากรู้ว่า จะบอกได้อย่างไรว่า ลูกจะเป็นเด็กอัจฉริยะ หรือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์พิเศษหรือไม่ ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการเด็กหลายท่าน ได้รวบรวมคุณสมบัติของเด็ก ที่พอจะบ่งบอกถึงลักษณะของเด็กที่เป็นอัจฉริยะไว้ มาลองรับชมกันครับ ส่วนท่านที่ต้องการชมตัวอย่างความอัจฉริยะของคนดังระดับโลก  ติดตามในตอนท้ายๆ ของคลิปนี้ได้เลยครับ รวมมิตรให้แล้วครับ

.

ลักษณะเบื้องต้นของเด็กอัจฉริยะ หรือ ผู้ที่มีพรสวรรค์พิเศษ

.

มีพลังงานในตัวมาก วิ่งเล่นทำอะไรได้ตลอด

.

มีความสามารถในการอ่าน 

เด็กผู้มีพรสวรรค์พิเศษและเด็กอัจฉริยะจะสามารถอ่านหนังสือได้ ก่อนอายุสี่ขวบ ในขณะที่เด็กทั่วไปจะอ่านได้ในช่วงอายุหกถึงเจ็ดขวบ การอ่านนั้นมีหลายขั้นตอนทำให้เขาจดจำและเข้าใจศัพท์มากขึ้น เค้าจะเริ่มสะสมศัพท์และความหมายและค้นพบความสุขในการอ่านเมื่อเติบโตขึ้นโดยอัจฉริยะจะเสพติดการอ่านอย่างมากยกตัวอย่างเช่น คุณนิโคล่า เทสล่า ในสมัยเด็กนั้นเขาได้อ่านหนังสือโดยจุดเทียนอ่านหนังสือชนิดที่หนักหน่วงมาก  คุณพ่อของเขาเกรงว่าสายตาจะเสียเพราะใช้เวลาอ่านหลายชั่วโมงต่อเนื่อง จึงต้องขโมยเทียนไปซ่อนไว้ไม่ให้อ่านหนังสือ แต่เขาไม่ยอมแพ้ เค้าประดิษฐ์เทียนขึ้นมาเพื่อใช้อ่านหนังสือของตนเอง เรื่องของคุณนิโคล่า เทสล่า สามารถติดตามรับชมในช่อง YouTube นี้ได้เลยนะครับในชื่อตอน นิโคล่าเทสล่าและมหาสงครามไฟฟ้า เรื่องราวสนุกมากครับ

.

ขอยกตัวอย่างอัจฉริยะอีกท่านหนึ่งคือคุณวิลเลียม เจม ไซดิส บุคคลท่านนี้บางคนจัดว่าเขามีอัจฉริยะด้วยไอคิวสูงถึง 260 ถึง 300 เลยทีเดียว ในวัยเพียงหกเดือนเด็กชายวิลเลียมก็สามารถอ่าน และ สะกดคำได้แล้วครับคำแรกที่เขาสะกดคือคำว่าดีโอโออา ดอ แปลว่า ประตู  และคำว่ามูล สะกดว่า  m o o n ซึ่งแปลว่าพระจันทร์ นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง บุคคลคนนี้เขาสามารถตักรับประทานเองได้ตั้งแต่อายุแปดเดือน ในวัยเพียงห้าขวบเขาสามารถ พิมพ์จดหมายซื้อของได้แล้วสุดยอดจริงๆ ท่านสามารถรับชมได้ในช่วงนี้นะครับ มีเรื่อง ยอดคุณอัจฉริยะ โคตรฉลาดระดับจักรวาล william jame sides  

.

มีความอยากรู้อยากเห็น คอยถามโน่นถามนี่ กับคุณพ่อคุณแม่บ่อยๆ จากรายงานของ Harvard Business Review  ระบุว่า “ความอยากรู้อยากเห็นมีความสำคัญพอ ๆ กับความฉลาด” และการมีจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นก็เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จที่ดีในอนาคตของเด็ก เด็กที่ชอบถามคำถามจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะเรียนรู้โดยสัญชาตญาณในขณะที่พวกเขาแสวงหาโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็จะสามารถพัฒนาจิตใจและสติปัญญาของพวกเขาต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง


มีช่วงสมาธิที่ดี ยาวนานกว่าเด็กในวัยเดียวกัน คือสามารถเล่น หรือทำอะไรที่ต้องการสมาธิได้ดี ปกติแล้ว ทารกและเด็กเล็กมักมีช่วงสมาธิสั้น และเสียสมาธิได้ง่ายจากเสียงหรือการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว พวกเขาอาจมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ ประมาณ 10 ถึง 15 นาทีเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ  แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ เขามักสามารถโฟกัสอยู่กับสิ่งที่ทำได้เป็นระยะเวลานานตั้งแต่อายุยังน้อย (บางรายก่อนอายุหกเดือน) เมื่อพวกเขาอายุเพียง 10 หรือ 11 เดือน การจับคู่รูปทรง และสีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา นอกจากนี้คุณอาจเห็นพวกเขาชอบชี้ไปที่ภาพในระหว่างที่คุณอ่านหนังสือนิทานให้ฟัง หรือแม้แต่พลิกหน้าหนังสือเอง ในขณะที่คุณยังอ่านในหน้านั้นไม่จบ


มีความสามารถในการคิดแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดี

มีจินตนาการที่ค่อนข้างแจ่มชัด เช่น เล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังได้ว่า โตขึ้นเขาอยากเป็นนักบิน จะขับเครื่องบินเจ๊ต จะเรียนให้เก่งๆ ฯลฯ


มีความจำที่ดี

ความจำที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กในการเรียนรู้และเก็บข้อมูลใหม่ ๆ ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน ในความเป็นจริงตามที่นักจิตวิทยาและนักเขียน Tracy Packiam Alloway กล่าวว่า“ ความจำในการทำงานไม่ได้เชื่อมโยงกับการเรียนรู้เท่านั้น (ตั้งแต่อนุบาลถึงวิทยาลัย) แต่สำหรับการตัดสินใจในกิจกรรมประจำวันด้วย” คำเตือนคำเดียวจากการศึกษาระบุว่าเด็กที่มีความทรงจำดีๆ ก็โกหกได้ดีกว่า!

.

เป็นคนมาตรฐานสูง ออกแนวอะไรๆก็ต้อง สมบูรณ์แบบ ต้องเนี้ยบ

เด็กฉลาดและผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมีแนวโน้มที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง พวกเขามีความต้องการโดยสัญชาตญาณในการปรับปรุงและทำสิ่งต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น แรงผลักดันนี้ยังช่วยพวกเขาในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และวิชาต่างๆ ในโรงเรียนอย่างสุดความสามารถ การมีสมาธิมากแบบสุดลิ่มทิ่มประตูกับการทำอะไรก็ตามที่พวกเขาสนใจ และตั้งใจให้ผลงานออกมาอย่างดีที่สุด อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่มีไอคิวสูง 

.


ชอบสังคมกับเด็กที่โตกว่าวัยของตนเอง

เด็กที่มีพรสวรรค์มักถูกอธิบายว่าเป็น“ ผู้ใหญ่ตัวน้อย” เนื่องจากมีวุฒิภาวะที่โตเร็ว มีการรับรู้เหตุการณ์ปัจจุบันได้ดี และมีแนวโน้มที่จะสนทนากับผู้ใหญ่แบบเป็นเรื่องเป็นราวได้มากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เด็กที่สดใสร่างเริงเป็นพิเศษอาจเป็นคนที่ชอบคุยกับผู้ใหญ่ในงานเลี้ยงวันเกิด แทนที่จะเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ การเพลิดเพลินกับการสนทนาและการชอบบอกเล่าพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตของพวกเขาก็เป็นสัญญาณของความฉลาดในเด็กเช่นกัน

.

ชอบอยู่คนเดียว

เด็กประเภทนี้เค้าจะมีความสุขมากในการอยู่คนเดียวเล่นคนเดียว เล่นสนุกระบายสี หรือเล่นไขปริศนาต่างๆ เพียงลำพัง หรือมีเพื่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การอยู่ร่วมกันแบบสังคมขนาดใหญ่ไม่ใช่คำตอบสำหรับเขา ครอบครัวที่ดีจึงไม่ผลักดันให้เขาไปอยู่ในสังคมที่เขาไม่ชอบ

.

เล่นดนตรีได้โดดเด่น

จากการศึกษาวิจัย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเป็นนักดนตรีกับความฉลาด และนักวิจัยเชื่อว่าเด็ก ๆ จะได้รับประโยชน์ทางวิชาการเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ด้านดนตรี พ่อแม่ทุกคนควรเปิดโอกาสให้ลูก ๆ ได้เรียนรู้ดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษทางดนตรีก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่าการฝึกดนตรีส่งผลกระทบต่อสมองและปลดล็อกความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

.

เด็กอัจฉริยะ เราควรปฏิบัติต่อเขา อย่างไร 

.

คุณหมอ แนะนำว่า ถ้าลูกของคุณอาจเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษ หรือเป็นเด็กอัจฉริยะ ก็ควรให้การสนับสนุน โดยการจัดกิจกรรม และการเล่นต่างๆ ที่เหมาะสมกับเด็ก โดยอย่าได้พยายามบังคับ หรือคาดคั้นให้ทำให้ได้มากอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการ แต่ให้โอกาสและเวลาแก่ลูก ที่จะได้ลองทำสิ่งต่างๆ ที่เขามีความสามารถพิเศษเหล่านี้เอง และฝึกฝนจนชำนาญ 

.

ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเด็กที่มีลักษณะพิเศษกว่าเด็กคนอื่นๆ จะเติบโตขึ้นเป็น ไอน์สไตน์ หรือ บีโทเฟน กันทุกคน แต่อย่างน้อย การที่คุณพ่อคุณแม่ได้ให้การสนับสนุนเขาในทางที่ถูก ก็จะช่วยให้เขาได้ใช้ความสามารถพิเศษที่เขามีติดตัวมานั้นได้ดีขึ้น และต่อไป เขาจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น ก็คงแล้วแต่ว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร

.

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่า แม้ว่าเด็กบางคนอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่ามีไอคิวสูง แต่พวกเขาก็ยังสามารถเป็นอัจฉริยะในอนาคตได้  และเด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะก้าวไปสู่ความฉลาดและความสำเร็จในแบบของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ยอมรับว่า การเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมเชิงบวกต่อตัวเด็กมีผลอย่างมาก มันจะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ในแต่ละวันควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุตรหลานของคุณได้ใช้เวลาในการอ่านหนังสือ ได้นอนหลับเพียงพอ ได้รับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกาย และมีลักษณะของความสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิตอยู่เสมอ เมื่อสภาพแวดล้อมรอบตัวลูกดีและเหมาะสมสำหรับการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จะช่วยส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะ ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)  ได้อีกทางหนึ่ง  และแน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่พร้อมสนับสนุนลูกในทางบวกก็จะช่วยให้บุตรหลานของคุณประสบความสำเร็จในอนาคตได้

.

ขอบคุณข้อมูล 

แพทยหญิง จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์

เว็บไซต์ atomnursery.com

เว็บไซต์ amarinbabyandkids.com

เว็บไซต์ parenting.firstcry.com 

เว็บไซต์ learningliftoff.com

เว็บไซต์ starfishlabz.com


วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สัมภาษณ์ผู้หญิง ที่ฉลาดที่สุดในโลก IQ228








สัมภาษณ์ผู้หญิง ที่ฉลาดที่สุดในโลก
.
มาริลิน วอส ซาวองต์ เธอคือ ผู้หญิงที่ถูกวัดไอคิวและได้สูงสุดระดับโลก จนกินเนสบุ๊คเวิลด์เรคคอร์ด ต้องบันทึกชื่อเธอไว้
.
มาริลิน วอส ซาวองต์ ในปัจจุบันเธอเป็นคอลัมนิสต์ ,เป็นนักประพันธ์ ,เป็นบรรณาธิการ, เป็นผู้บริหารของบริษัทผลิตหนังสือแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงระดับชาติในนาม นิตยสาร พาเหรด ในขณะเดียวกันเธอก็มีตำแหน่ง ผู้หญิงอัจฉริยะระดับโลก ที่วัดไอคิวได้สูงถึง 228 เลยทีเดียว
.
มาริลิน วอส ซาวองต์ เธอเล่าไว้ในรายการ full frame ออกอากาศเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมปี 2016 ซึ่งรายการนี้ ออกอากาศในช่อง CGTN america เธอได้เข้ามาร่วมให้สัมภาษณ์กับคุณไมค์วอเตอร์ ใน studio ที่ new york สหรัฐอเมริกา
.
เนื้อหาในรายการ เธอได้เล่าถึงชีวิตส่วนตัวและชีวิตในความเป็นอัจฉริยะมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
.
เริ่มต้นรายการ โดยพิธีกรได้แนะนำว่า เธอคือผู้หญิงที่ฉลาด และทำอาชีพเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งมีชื่อเสียงระดับชาติ เธอถูกวัดไอคิวล่าสุดตอน 10 ขวบมีคะแนนสูงถึง 228 แต่ปิดไว้เป็นความลับ
.
ต่อมาในปี 1986 ก็มีข่าวลือเรื่องของเธอออกมา คราวนี้ชื่อเธอจึงติดอันดับสูงสุดของ กินเนสเวิลด์เรคคอร์ดบุค ในนั้นระบุว่า เธอคือผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดในโลก
.
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เธอมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เพราะว่าเธอมีไอคิวมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า แถมมีคะแนนเกินกว่าคนปกติด้วย
.
ตอนนี้เธอเปิดคอลัมน์ชื่อว่า ถามมาริลีน
ให้กับนิตยสารพาเหรด มาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว
นิตยสาร sunday รวบรวมไว้ว่ามีผู้อ่านเรื่องของเธอแล้วประมาณ 80 ล้านคนทั่วอเมริกา
.
แต่ละคำตอบ ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง เพราะเธอมีประสบการณ์ในความเป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นคุณย่า และเป็นนักเต้นรำด้วย
.
เท่าที่เกริ่นมา ผมว่าเธอก็ชีวิตไม่ธรรมดานะครับ พิธีกรชาย กล่าวไว้
.
และพิธีกรชายก็กล่าว ถามเธอว่า ในตอนนั้นเขาไม่ได้บอกคุณหรือ ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา
.
เธอกล่าวว่า จริงๆ แล้ว เธอถูกว่าวัดไอคิวตอน 8 ขวบ 9 ขวบ 10 ขวบ และ 11ขวบ ทุกคนรู้คะแนน ที่ฉันได้กันหมดเลย คุณครูก็รู้ คุณแม่ก็รู้ เพื่อนๆ ของฉันก็รู้ แต่ก็ไม่มีใครบอกฉันว่า คะแนนที่ได้มันยาก แค่ไหนฉันเลยรู้สึกปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ฉันคิดว่า ในโลกนี้ คงมีคนทำคะแนน ได้เท่าฉัน อยู่สองถึงสามคน ฉันก็เป็นคนหนึ่งไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย การที่ฉันได้คะแนนมากขนาดนั้น ฉันไม่เห็นมีความสำคัญอะไร ที่ผู้หญิงอย่างฉันจะใช้ประโยชน์จากมันได้ ฉันจึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางใดทางหนึ่งเลย
.
พิธีกรชายกล่าวว่า คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่า เขาเลี้ยงดูคุณให้เป็นอัจฉริยะอย่างนี้ได้ยังไง ยากแค่ไหน เขาตอบสนองต่อความเป็นใช้อัจฉริยะของคุณอย่างไร
.
มาริลีน เธอตอบว่า ฉันไม่คิดว่าเขาให้ความสนใจมากนัก คุณต้องเข้าใจภูมิหลังของฉันก่อน ปู่ย่าตายายฉัน เป็นคนงานในเหมืองถ่านหิน ปู่ของฉันย้ายมาจากประเทศเยอรมนีและอิตาลี ปู่ ของฉัน ตายในเหมือง ตาของฉัน บาดเจ็บสาหัส ต้องใช้ไม้เท้าเดินตลอดชีวิต เขามุ่งทำงานหาเลี้ยงชีพ เขาไม่ได้มาสนใจเด็กน้อยอย่างฉันหรอก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันเป็นเด็กผู้หญิงด้วยกระมัง
.
ฉันรู้ ว่าคนส่วนใหญ่ให้เกียรติฉันในแง่ของความฉลาด ฉันคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องฉลาดมาก ขอแค่พวกเขามีความรู้และประสบการณ์ตรง มีการศึกษาเฉพาะทางในอาชีพของเขา แค่นั้นก็พอเหมาะแล้ว ฉันคิดว่าเรากำลังสับสนกับคำว่าความฉลาด ฉันคิดว่าคนที่ฉลาดแท้จริง คือคนที่สามารถ ประมวลผลขัอมูล ที่คุณมีอยู่ในมือได้ดี มันต้องเป็นแบบนั้นแหละคะ
.
เธอกล่าวว่า มองย้อนกลับไปในอดีต การเป็นอัจฉริยะ ทุกคนต้องคิดว่า โอ้วต้องเป็น นักวิทยาศาสตร์แน่ๆ แต่ฉันคิดต่างนะ ตอนอายุได้ 13-17ปี เป็นนักการเมืองก็ไม่เลว ดีกว่าส่องกล้องจุลทรรศน์อีก
.
พิธีกร ถามว่า การมีไอคิวระดับนี้ มีคือของขวัญวิเศษ หรือว่า มันเป็นภาระ
.
เธอตอบว่า มันเป็นของขวัญนะคะ ไม่ใช่ภาระเลย แต่บางครั้งฉันก็สับสนไม่รู้จะไปถามใครได้อีก
.
ผมขอถาม เกี่ยวกับการแต่งงานของคุณ ที่ไม่ปกตินะ ผมหมายถึงว่าสามีของคุณเป็นคนมีชื่อเสียงมาก ระดับโลก เพราะเขาช่วยให้ผู้คนมีชีวิตรอด เขาโคตรฉลาด ผมถามคุณตรงๆ เลย การจะเลือกคู่ครองของคุณ จำเป็นต้องเลือกบนพื้นฐานที่มีสติปัญญาสูงๆไหม
.
เธอตอบว่า ฉันไม่ได้ข่มขู่บังคับเขานะ แค่เรามีเรื่องที่ทำและมีความสุขร่วมกัน นั่นหมายถึง การให้และการรับทางสติปัญญา ซึ่งฉันก็ทำอยู่ให้กับคนจำนวนมาก ฉันทำโดยผ่านการเขียนคอลัมน์ที่ฉันมี ใน พาเหรด แมกกาซีน นั่นดีสุดแล้ว
.
เธอกล่าว อีกว่า ผู้คนที่กำลังมองหาคำแนะนำ แรงบันดาลใจ ความช่วยเหลือความหวัง ฉันพยายามนำเสนอสิ่งเหล่านั้นให้พวกเขาทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันทำได้
ไม่ว่าจะคนระกับไหน ก็แบ่งปันและรับปัญญาได้หมด
.
(แม๋ เธอสวย และ ฉลาดตอบ แบบนางงามจักรวาลเลยนะเนี่ย )
.
แล้ว ที่คุณทำ มันเริ่มมาอย่างไรครับ
.
ฉันเริ่มเขียนบทความ เกี่ยวกับตัวฉันในโรง ภาพยนตร์ ตอนนั้นฉันคิดเอง ว่าฉันเป็นบรรณาธิการ ถ้ามีคนถามคำถามมา
พื้นฐานๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันไม่รู้ จนถึงคำถามวิชาการยากๆ คำถามปรัชญาที่สร้างความงุนงง มาหลายศตวรรษ เราจะถามใครดี อ๋อ ต้องถาม มาริลีนสิ แต่ในความจริง คำถามมากมายแต่ ฉันตอบได้ และสนุกดีด้วย พวกเขาพอใจมากนะ
ก็เลยจริงจังทำเป็นคอลัมน์เลยละกัน
ฉันดีใจนะ ที่คนในอเมริกาและทั่วโลกได้คำตอบที่อิ่มเอมใจกลับไป มันสนุกมากด้วย
.
พิธีกรชายถามว่า สมมุติว่าคุณเป็นเด็กอัจฉริยะผู้หญิง ที่มาเกิดในช่วง 3-4 ปีหลังนี้ ขอบคุณที่ทำการปฏิบัติอย่างไร
.
เธอตอบว่าแน่นอน เขาควรได้รับการปฏิบัติที่ดีต่อพวกเขา
.
แล้วเรื่องเพศ มีผลไหมคับ
.
เธอตอบว่า แน่นอนผลจากการได้เป็นเด็กผู้หญิงย่อมจะมีความข้อดี ข้อด้อยเฉพาะทางเป็นหลักอย่างเช่นเรื่อง ผู้หญิงจะมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศมากกว่า ฉันมองว่าเรื่องนี้เป็นความเสียหายนะ แต่มันก็มีผลดีสำหรับบางมุมนะเช่นเรื่องของความบันเทิงเรื่องของความงาม เหมาะกับการเป็นนางงามนักแสดงและนางแบบอะไรประมาณนั้น แต่ถ้าคุณเอามุมนี้มาใช้กับ เรื่องการเมือง เรื่องธุรกิจ หรือเรื่องอื่นๆที่ผู้หญิงพยายามจะผลักดันตัวเข้าไป ลองคิดดูว่าถ้าคุณแต่งหน้าสวยๆ จนเป็นที่น่าดึงดูดใจคนอื่น มันไม่ค่อยเข้าเลย มันควรต้องตัดออกหรือแต่งหน้าบางๆ จะดูเข้าเรื่องกว่านะ
.
ok ครับผมผมมีคำถามสุดท้ายจะถามคุณนะครับ ผมเองชอบลืมว่าตนเองเอากุญแจไปไว้ที่ไหน แล้วก็เดินวนหารอบบ้าน ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันควรอยู่ที่ไหน อันนี้เป็นประจำเลยครับคุณเคยเป็นแบบผมไหมครับ
.
เธอตอบว่า ไม่ต้องแปลกใจฉันก็เป็นเหมือนกัน มันเป็นเรื่องปกตินะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันรู้ฉันทีว่าใครๆก็ตามเมื่ออายุเข้าเลข 50 เดี๋ยวก็เป็นทุกคน วิธีแก้ไขนะคะ คุณควรฝึกสมาธิ ทุกอย่างมันจะดีขึ้นเองค่ะ
.
มารับชมคอมเม้นจากโลกโซเชียลกันครับ
.
มันน่าแปลกใจที่นามสกุลของเธอแปลได้ว่าเป็น นักปราชญ์ พอดิบพอดี
.
เธอช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารัก รู้สึกสดชื่นในสิ่งที่เธอทำ เธอเป็นนักเขียนนักสื่อสารที่ค้นพบความสุขในการรับใช้ผู้อื่นผ่านงานเขียนของเธอ แต่สามารถหาเลี้ยงชีพได้เธอคือผู้ฉลาดที่แท้จริง
.
ฉันดูแล้วเธอเป็นคนมีความฉลาดทางอารมณ์ด้วย เป็นส่วนผสมอย่างธรรมชาติผสมไปกับไอคิวของเธอและฉันชอบมากเมื่อเธอเรียกร้องสิทธิ์ให้ผู้หญิงรู้จักเคารพในตนเอง ไม่ทำลายความสำเร็จของตนเองและคอยช่วยเหลือโลกอย่างดีเยี่ยม
.
ฉันว่าเธอมีความฉลาดในทัศนคติที่ดี ขอขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
.
ฉันเองเป็นวิศวกรการบินและอวกาศฉันจบมาในวิทยาลัยปี 89 ตอนนั้นคุณครูบอกว่าฉันเก่งคณิตศาสตร์ แล้วเธอก็บอกฉันว่า จะใช้ประโยชน์จากมันได้ยังไงในชีวิตจริง ลองคิดสิ นึกไม่ออกเลยถ้าไม่มีคนให้กำลังใจแนะแนวทางฉันได้ตัวนั้นมันจะได้แบบนี้หรือไม่
.
ฉันชอบวิธีการที่เธอตอบดูมีจังหวะมีการแยกประเด็นและกระชับดีคำตอบคือยอดเยี่ยมและเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเป็นนักคิดที่เหนือกว่าคนอื่น
.
ท่าทางของเธอมีระดับและสง่างามเป็นผู้หญิงที่สวยและฉลาดครบจริงๆ
.
เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาจริงๆสง่างามและใจดีมาก
.
คะแนนสอบ IQ ของฉันคือ 169 คะแนนฉันไม่เคยสนใจมันเลยฉันไม่ได้ไปเรียนต่อด้วยซ้ำไปเพราะมาในชีวิตฉันคือครอบครัวฉันขับรถบรรทุกมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วฉันเลี้ยงดูภรรยาและครอบครัวฉันเล่นกอล์ฟเล่นบาสเกตบอลเพื่อความสนุกสนานและออกกำลังกาย IQ สูงช่วยฉันได้ในเรื่องการเรียนรู้อย่างรวดเร็วและง่ายดายทำให้ชีวิตได้เปรียบเล็กน้อยมันก็แค่เท่านั้น
.
มาริลีนเธอเป็นคนถ่อมตัวจริงๆเป็นคนดีจริงๆในปี 1986 ฉันเคยดูเธอ จนมาถึงตอนนี้เธอก็ยังถ่อมตัวเสมอ
.
ขอขอบพระคุณสำหรับการรับชมครับ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเธอ ส่งคอมเม้นมาได้ครับ
.
ขอขอบคุณ
เว็บไซต์ CGTN.com และ
ช่องยูทูป Sandeep Desai และ
ช่องยูทูป Gideon thadai และ
ช่องยูทูป Harold channer และ
ช่องยูทูป phoneia และ
ช่องยูทูป women power และ
ช่องยูทูป vault และ
ช่องยูทูป Hammer Rome52 และ
ช่องยูทูป news think
อินสตาแกรม ช่อง girlboss.talking
-

#สัมภาษณ์ผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดในโลก
#ผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดในโลก #mirilyn vos savant
#the genius woman #คำคม #ผู้หญิงเก่ง #ผู้หญิงแกร่ง #แรงบันดาลใจ #Thailand #inspiration #คำคมภาษาอังกฤษ #แคปชั่น #quoteoftheday #คำคมเด็ด #GirlBossTalking #พลังบวก #inspirationalwomen #influentialwomen #คิดบวก #เปลี่ยนแปลงตัวเอง #ผู้หญิงสายสตรอง #ความสำเร็จ #ก้าวไปข้างหน้า #โค้ชชีวิต #marilynvossavant

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ตำนานราชาแห่งมอเตอร์ไซต์ HONDA


 


โซอิจิโร่ ฮอนด้า เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้า และเป็นหนึ่งใน นักธุรกิจที่ทรงอิทธิพล มากที่สุดของญี่ปุ่น ชายผู้นี้อยู่เบื้องหลัง Honda Motor Company ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่ ที่สุดในโลก 

-------




ชายคนนี้

เขาคือ ราชาแห่งมอเตอร์ไซค์ เบอร์ 1 ของโลก

เขาคือ ตัวอย่างที่ดีสุด ของผู้เริ่มต้นจากความยากไร้ สู่แบรนด์ระดับของโลก

เขาคือ เด็กยากจนคนหนึ่ง จากต่างจังหวัด สู่ธุรกิจมูลค่าทรัพย์สิน 1 ล้านล้านบาท

เขาคือ ผู้วางรากฐาน สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค

เขาคือ ผู้ผลิตรถ ที่คว้าชัยชนะในสนามแข่ง ทั้งยานยนต์สองล้อและสี่ล้อ 

เขาคือ ชายคนเอเชีย ถูกจารึกในทำเนียบปูชนียบุคคลยานยนต์โลก

เขาคือ ชายคนที่เป็นสุดยอด แห่งการยืนหยัดต่อสู้ จากขี้เมาข้างถนนสู่มหาเศรษฐี

เขาคือ ชายคนที่เป็น สุดยอดนักประดิษฐ์จากเศษซากแห่งสงคราม

เขาคือ เด็กเรียนไม่เก่ง แต่ปรับเปลี่ยน mindset เข้าสู่โหมดการเรียนรู้เฉพาะทาง และพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้

เขาคือ ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เขาคือ ผู้นำการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กรุ่นแรกๆ ที่โด่งดังระดับโลก ในนามฮอนด้า ดรีม

เขาคือ ผู้สร้างยอดขายรถยนต์ถล่มทลายในอเมริกา ในนาม Honda Civic

เขาคือ ผู้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด รุ่น Insight และ Clarity

เขาคือ ผู้ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ มากมายตั้งแต่ จักรยาน  หุ่นยนต์ จนถึงระดับเครื่องบินเลยทีเดียว

-

คนคนนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กว่าจะมีชื่อติดระดับโลกแบบนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง สาหัสขนาดไหน มารับชมกันครับ

-

ครอบครัว ฮอนด้า

คุณ โซอิจิโร ฮอนด้า  เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1906 ที่บ้านคอมโยะ ในอิวาตะ  จังหวัด ชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น บ้านของเขาตั้งอยู่ที่เชิงเขา ภูเขาไฟฟูจิ ดินแดนที่เต็มไปด้วยแผ่นดินไหว  ตัวเขาเองมีความหลงไหล ในเครื่องจักร และการทำงานของเครื่องยนต์ตั้งแต่วัยเยาว์  คุณพ่อของเขา คือคุณ เกไฮ และคุณแม่คือคุณมิกะ  (ขออภัยหากอ่านออกเสียงผิดนะคับ) คุณพ่อท่านเป็นชาวนาที่ชอบงานช่าง แต่ช่วงว่างก็รับซ่อมจักรยาน ตีเหล็กและงานอื่นๆ คุณพ่อเขามีทักษะด้านงานช่างฝีมือ และงานซ่อมที่ยอดเยี่ยมมากๆ  ส่วนด้านคุณแม่ ก็ทำงานเย็บปักถักร้อยและเป็นแม่บ้าน ความเป็นอยู่ในย่านนั้น เรียกว่า ยากจนแร้นแค้นเลยก็ว่าได้

-

ในวัยเด็ก

-

เขาเป็นคนไม่ชอบไปเรียนหนังสือ ไม่ชอบการอ่าน ไม่ชอบการเขียนเลย เขาหลงไหลในเครื่องยนต์และจักรกลมากกว่า ทำให้ในวัยเด็กของเขา   เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ช่วยงานพ่อเขา มากกว่าจะอยากไปโรงเรียน

.

เมื่อเขาไม่อยากไปโรงเรียน  ทำให้ผลการเรียนของเขาตกต่ำมาก เมื่อคุณครูส่งจดหมายมาที่บ้าน เพื่อแจ้งเรื่องผลการเรียน เขาไม่อยากให้พ่อได้รับทราบเรื่องนี้ ไม่อยากให้พ่อต้องลงลายมือ ในเอกสารรับทราบ เขาจึงประดิษฐ์ ตราประทับปลอม ประทับตราลงไปแทนลายมือพ่อของเขา ซึ่งต่อมาพ่อเขาจับได้ และลงโทษเขา โดยการให้นั่งคุกเข่า และไม่ให้รับประทานอาหารกลางวัน

.

วันหนึ่ง โซอิชิโร กำลังเล่นอยู่ ทันใดนั้น เขา ได้ยินเสียงกึกก้องของอะไรบางอย่าง ซึ่งมันสามารถเคลื่อนที่ได้ เขาแปลกประหลาดใจ แล้วรีบวิ่งไปดู นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบเห็น เครื่องจักรประหลาดชนิดหนึ่งมีล้อ 4 ล้อที่ มันสามารถขับเคลื่อนได้  คนสามารถนั่งบนมันได้ สิ่งนี้คือ รถยนต์ 4 ล้อ ของ ยี่ห้อ ฟอร์ด รุ่น t  รถยนต์ของฟอร์ด คันนี้ ทำให้เขาต้องตกตะลึง มันเป็นเครื่องจักรที่แสนพิเศษ มันช่างตราตรึงใจ สำหรับเด็กคนนี้มาก เขาเกิดความสงสัยว่า มันขับเคลื่อนได้ยังไง และแล้วเขาก็วิ่งตามมัน เพื่อให้ได้ใกล้ชิดมันมากที่สุด

.

 เมื่อครั้ง เขาเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 เด็กชายโซอิชิโร  ได้มีโอกาสเห็นเครื่องบิน ในเดือนถัดมาหนูน้อยโซอิชิโร  พยายามแต่งตัวให้เหมือนนักบินมากที่สุด

.

ในปี 1922 เขาอ่านหนังสือพิมพ์และเห็นข่าวที่น่าสนใจ ในเนื้อข่าวระบุว่า บริษัทที่ให้บริการรถยนต์ในโตเกียว ชื่อว่า อาท โชไก  ต้องการรับสมัครคนเพื่อมาร่วมทำงาน เขาตัดสินใจส่งจดหมายขอเข้าร่วมงานและ เขาก็ได้งาน

-


ช่วงชีวิตวัยหนุ่ม 


ในวัย 15 ปี เขาจากบ้านที่แสนยากจน มุ่งหน้าสู่เมืองโตเกียว ที่แสนเจริญ ด้วยความคาดหวังว่าจะหางานเพื่อทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น ในร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์เล็กๆ แต่งานที่เขาได้รับกลับเป็นงานเลี้ยงลูกของเจ้าของร้าน และงานเก็บกวาดขยะที่ร้าน เขารู้สึกหมดหวังและทำงานเก็บเงินไม่ได้เลย ในใจเขาก็อยากกลับบ้าน แต่ก็ทนทำต่อไป

ต่อมาเขาเริ่มได้รับความไว้วางใจ และขยับเข้ามาสู่ระบบงานซ่อมบำรุงเครื่องยนต์

การทำงานที่นี่ มีงานซ่อมที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่รถจักรยานจนถึงรถยนต์หรูหราราคาแพง ของชนชั้นสูงทำให้เขาได้เรียนรู้มากมาย

.

ก้าวเข้าสู่โลกของมอเตอร์สปอร์ต

.

ในปี 1923 ในช่วงนี้วงการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกกำลังเริ่มเฟื่องฟู หนุ่มน้อย โชอิชิโร กำลังแตกเนื้อหนุ่มความเร็วความแรงก็ย่อมเป็นที่น่าสนใจเป็นเรื่องปกติ เจ้าของร้าน อาทโชไก ที่เขาทำงานด้วย ก็สนใจมอเตอร์สปอร์ตเหมือนกัน เขาคิดจะสร้างรถขึ้นมาเองเพื่อการแข่งขันครั้งนี้ด้วย

.

รถแข่งรุ่นแรก ที่พวกเขาทำมันขึ้นมามันคือ อาท เดมเลอร์  มันถูกสร้างมาจากเครื่องยนต์มือสอง แล้วต่อมาก็สร้างรุ่นที่ 2 ชื่อ เดอะ เคอตอส  ในรุ่นที่ 2 นี้เครื่องยนต์ของมันมาจากเครื่องยนต์ของเครื่องบิน 2 ปีกในสมัยนั้น ส่วนแชสซี ของรถ นำมาจากรถของคนอเมริกันยี่ห้อ มิชเชล พวกเขาตัดสินใจประกอบรวมร่างมันขึ้นมา

-

ในปี 1924 ก็ลงแข่งขันในรายการ motor car ของญี่ปุ่นครั้งที่ 5

ผู้ขับขี่ในครั้งนี้คือพี่ชายของเจ้าของร้านอาทโชไก และ โซอิจิโร่ เป็นวิศวกรให้

ในวัย 17 ปี กับการเปิดโลกมอเตอร์สปอร์ต ความเร็วและเครื่องยนต์กลไกมันซึมเข้าสู่กระแสเลือดของเขา  ทำให้เขาประทับใจมาก

.   

ในปี 1926 เขาถูกเรียกตัวไปเกณฑ์ทหารแต่ไม่ผ่านเพราะเขาตาบอดสี

ในปี 1928 ร้าน อาทโชไก  ต้องการขยายสาขาที่เมือง ฮามามัตสึ และคนที่เหมาะสม สำหรับตำแหน่งนี้มากที่สุดก็คือ โซอิจิโร่ คนนี้นี่เอง ในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 21 ปี ปัญหาที่เขาเจอคือ คนส่วนใหญ่ไม่กล้าให้เขาทำการซ่อมแซม เพราะ เขาหน้าตายังเด็ก และอายุยังน้อย ดูไม่น่าเชื่อถือเลย แต่เขาทนทำจนเป็นที่ยอมรับในเวลาต่อมา

.

ในปี 1930 กิจการของเขาเริ่มไปได้ด้วยดี เขาทำร้านใหม่และมีลูกจ้างมากถึง 30 คน ในขณะนั้น เขาเป็นทั้งนักซ่อมรถยนต์และเป็นนักแข่งรถด้วย

.

เขาได้สร้างรถยนต์สำหรับการแข่งขันที่ฮามามัตสึ เจ้ารถยนต์ตัวนี้ มันทุบสถิติ โดยการทำความเร็วสูงสุดถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสถิติความเร็วนี้อยู่ได้นานมาจนถึง 20 ปี  ทุกคนต่างยอมรับในความเก่งกาจ ทั้งเรื่องการซ่อมรถ และการแข่งรถของเขา ในเดือนมิถุนายน เขาก็ประสบอุบัติเหตุในการแข่งขันอย่างรุนแรง

.

ในปี 1931  เขาสร้างความฮือฮา ให้วงการยานยนต์ โดยการเปลี่ยนจากล้อไม้ เป็นซี่ล้อโลหะครั้งแรก และมีการจดสิทธิบัตรเอาไว้


ในปี 1936  โซอิจิโร เขาประสบอุบัติเหตุในระหว่างการแข่งขันรถยนต์ ที่ทามากาวะ รุนแรงเกือบถึงชีวิต ภรรยาเขา ขอร้องให้เขาหยุด เขาจึงจำเป็นต้องหยุด เขาเริ่มศึกษาการผลิตแหวนลูกสูบ โดยปรึกษาคุณ ชิจิดร คาโตะ และก่อตั้ง บริษัท โตไก ไซกิ ขึ้นมา

-

ช่วง การพัฒนาธุรกิจ:

-

ในปี 1937 เขา เริ่มธุรกิจผลิตแหวนลูกสูบ

โตไก ไซกิ ตั้ังขึ้นมาเพื่อผลิตและส่งวงแหวนลูกสูบให้กับบริษัทโตโยต้า แต่กลับได้รับข่าวร้ายเพราะแหวนลูกสูบที่ส่งไปทดสอบมีแค่ 3 วงเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบคุณภาพ จากที่ส่งไปทั้งหมด 30,000 วง นับเป็นความล้มเหลวครั้งครั้งใหญ่ของเขา  เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้โซอิจิโร ต้องหันมาเรียนภาคค่ำ เพื่อเรียนรู้ตำราและทฤษฎีโลหะวิทยา เพื่อให้เข้าถึงการผลิตที่มีคุณภาพ เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่า เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับลงมือปฏิบัติจริง และหลังจากนั้น เขาใช้ความรู้ที่มีมาผลิตแหวนลูกสูบ จนโตโยต้ายอมรับในที่สุด

-

ในปี 1941 ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะสงคราม เศรษฐกิจถดถอย แรงงานถูกเกณฑ์เข้าสู่สงครามจำนวนมาก 

-


ช่วงการก่อตั้งฮอนด้า


ในปี 1945  เหตุการณ์ที่แสนสาหัสก็เกิดขึ้น เมื่อ 13 มกราคม 1945 เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้โรงานของเขาถล่ม เกิดความเสียหาย รุนแรง  ต่อมา โรงงานของ โซอิจิโรซัง ก็โดนระเบิดจากสงครามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาไม่สร้างมันขึ้นมาใหม่ เพราะตัวเขามองว่า ประเทศญี่ปุ่นกำลังย่ำแย่และขายธุรกิจให้กับโตโยต้า ไปด้วยมูลค่า 450,000 เยน ซึ่งหลังจากขายกิจการ เขารู้สึกท้อแท้ผิดหวัง จนกลายเป็นขี้เมาข้างถนนนานเกือบปี

-

ปี 1946  เมื่อภาวะสงคราม จบลง ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องสัญจรกันด้วยการเดิน ไม่ก็ปั่นจักรยาน โซอิจิโร จึงลองคิดค้นเครื่องยนต์ขนาดเล็กมาติดกับจักรยาน เพื่อให้ภรรยาของเขาใช้เดินทาง

-

ปี1947 ปีที่เป็นต้นตอของ ฮอนด้า ดรีมที่โด่งดัง   เมื่อคนอื่นพบจักรยานติดเครื่องยนต์ ก็เกิดความสนใจ และต้องการสั่งซื้อมัน เขาพัฒนาเครื่องยนต์ชุดแรก ชื่อ A-TYPE ในปี 1947  และต่อมาเขาสร้างรถมอเตอไซต์ในชื่อ Honda Dream (D-type) ซึ่งเป็นจักรยานยนต์รุ่นฮิต ที่สร้างชื่อให้กับเขา  รถรุ่นนี้ ทำให้Honda กลายเป็นบริษัทจักรยานยนต์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และหลังจากประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมจักรยานยนต์ 

.

ปี 1948 เขาได้ให้กำเนิดบริษัท Honda Motors ซึ่งเป็นบริษัทจักรยานยนต์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งนี้ คุณโซอิจิโร เขาได้ก่อตั้ง สถาบัน Honda Technical Research Institute ด้วย

-

ปี 1961 ฮอนด้า คว้าชัยชนะ 5 อันดับแรกในการแข่งขันรถมอเตอไซต์ รายการ Isle of Man TT or Tourist Trophy ทั่งรุ่น 125 และ 250 ซีซี

-

ปี 1970  คุณโซอิจิโร จึงเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมยานรถยนต์ระดับโลก

ปี 1980  คุณโซอิจิโร เขาได้พา Honda สู่ความยิ่งใหญ่ เป็น Top3 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น และของโลก

.

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ Honda ยังมีหลายธุรกิจที่หลายคนอาจไม่รู้ อาทิ Honda Aircraft Company บริษัทผลิตเครื่องบินที่ได้ศึกษาและพัฒนาเครื่องบิน jet aircraft มาตั้งแต่ปี 1980 และในปี 2003 “HA420 Hondajet” ได้ถูกนำมาใช้ในธุรกิจการบินอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังมี อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ทาง Honda ก็ได้มีการพัฒนาเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ปี 1986 โดย Asimo เป็นหุ่นยนต์ของ Honda ที่เรารู้จักกันดี

-

ช่วงเกษียณอายุ:

 คุณโซอิจิโร ลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทในปี 1973 แต่เขา ยังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทหลังเกษียณ

-

วาระสุดท้ายของชีวิต

   - เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม  1991 ด้วยวัย 84 ปี ต่อมาเขาก็ได้รับการจารึกชื่อในทำเนียบ ปูชนียบุคคลยานยนต์โลก นับเป็นความสุดยอด เพราเขาชาวเอเซียคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

--

คุณ โซอิจิโร่ ฮอนด้าเป็น ที่รู้จักในฐานะนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ เขาสร้างบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อย และมีอิทธิพลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นและทั่วโลก

ขอคำคมและแนวคิด สั้นๆ หน่อยครับ

“ ชีวิตไม่คุ้มค่าที่จะอยู่หรอก ถ้าหากว่า ไม่ทำสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุด" 


-------




ขอขอบคุณ

website 9carthai.com

website blueoclock.com

website  global.honda

Facebook เพจ เปลี่ยนชีวิต กับ ไผ่ ไซโค

Facebook เพจ The People

Youtube ช่อง BARCHETTA


วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประวัติ honda

 


โซอิจิโร่ ฮอนด้า เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้า และเป็นหนึ่งใน นักธุรกิจที่ทรงอิทธิพล มากที่สุดของญี่ปุ่น ชายผู้นี้อยู่เบื้องหลัง Honda Motor Company ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่ ที่สุดในโลก 

-------

ชายคนนี้

เขาคือ ราชาแห่งมอเตอร์ไซค์ เบอร์ 1 ของโลก

เขาคือ ตัวอย่างที่ดีสุด ของผู้เริ่มต้นจากความยากไร้ สู่แบรนด์ระดับของโลก

เขาคือ เด็กยากจนคนหนึ่ง จากต่างจังหวัด สู่ธุรกิจมูลค่าทรัพย์สิน 1 ล้านล้านบาท

เขาคือ ผู้วางรากฐาน สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค

เขาคือ ผู้ผลิตรถ ที่คว้าชัยชนะในสนามแข่ง ทั้งยานยนต์สองล้อและสี่ล้อ 

เขาคือ ชายคนเอเชีย ถูกจารึกในทำเนียบปูชนียบุคคลยานยนต์โลก

เขาคือ ชายคนที่เป็นสุดยอด แห่งการยืนหยัดต่อสู้ จากขี้เมาข้างถนนสู่มหาเศรษฐี

เขาคือ ชายคนที่เป็น สุดยอดนักประดิษฐ์จากเศษซากแห่งสงคราม

เขาคือ เด็กเรียนไม่เก่ง แต่ปรับเปลี่ยน mindset เข้าสู่โหมดการเรียนรู้เฉพาะทาง และพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้

เขาคือ ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เขาคือ ผู้นำการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กรุ่นแรกๆ ที่โด่งดังระดับโลก ในนามฮอนด้า ดรีม

เขาคือ ผู้สร้างยอดขายรถยนต์ถล่มทลายในอเมริกา ในนาม Honda Civic

เขาคือ ผู้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด รุ่น Insight และ Clarity

เขาคือ ผู้ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ มากมายตั้งแต่ จักรยาน  หุ่นยนต์ จนถึงระดับเครื่องบินเลยทีเดียว

-

คนคนนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กว่าจะมีชื่อติดระดับโลกแบบนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง สาหัสขนาดไหน มารับชมกันครับ

-

ครอบครัว ฮอนด้า

คุณ โซอิจิโร ฮอนด้า  เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1906 ที่บ้านคอมโยะ ในอิวาตะ  จังหวัด ชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น บ้านของเขาตั้งอยู่ที่เชิงเขา ภูเขาไฟฟูจิ ดินแดนที่เต็มไปด้วยแผ่นดินไหว  ตัวเขาเองมีความหลงไหล ในเครื่องจักร และการทำงานของเครื่องยนต์ตั้งแต่วัยเยาว์  คุณพ่อของเขา คือคุณ เกไฮ และคุณแม่คือคุณมิกะ  (ขออภัยหากอ่านออกเสียงผิดนะคับ) คุณพ่อท่านเป็นชาวนาที่ชอบงานช่าง แต่ช่วงว่างก็รับซ่อมจักรยาน ตีเหล็กและงานอื่นๆ คุณพ่อเขามีทักษะด้านงานช่างฝีมือ และงานซ่อมที่ยอดเยี่ยมมากๆ  ส่วนด้านคุณแม่ ก็ทำงานเย็บปักถักร้อยและเป็นแม่บ้าน ความเป็นอยู่ในย่านนั้น เรียกว่า ยากจนแร้นแค้นเลยก็ว่าได้

-

ในวัยเด็ก

-

เขาเป็นคนไม่ชอบไปเรียนหนังสือ ไม่ชอบการอ่าน ไม่ชอบการเขียนเลย เขาหลงไหลในเครื่องยนต์และจักรกลมากกว่า ทำให้ในวัยเด็กของเขา   เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ช่วยงานพ่อเขา มากกว่าจะอยากไปโรงเรียน

.

เมื่อเขาไม่อยากไปโรงเรียน  ทำให้ผลการเรียนของเขาตกต่ำมาก เมื่อคุณครูส่งจดหมายมาที่บ้าน เพื่อแจ้งเรื่องผลการเรียน เขาไม่อยากให้พ่อได้รับทราบเรื่องนี้ ไม่อยากให้พ่อต้องลงลายมือ ในเอกสารรับทราบ เขาจึงประดิษฐ์ ตราประทับปลอม ประทับตราลงไปแทนลายมือพ่อของเขา ซึ่งต่อมาพ่อเขาจับได้ และลงโทษเขา โดยการให้นั่งคุกเข่า และไม่ให้รับประทานอาหารกลางวัน

.

วันหนึ่ง โซอิชิโร กำลังเล่นอยู่ ทันใดนั้น เขา ได้ยินเสียงกึกก้องของอะไรบางอย่าง ซึ่งมันสามารถเคลื่อนที่ได้ เขาแปลกประหลาดใจ แล้วรีบวิ่งไปดู นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบเห็น เครื่องจักรประหลาดชนิดหนึ่งมีล้อ 4 ล้อที่ มันสามารถขับเคลื่อนได้  คนสามารถนั่งบนมันได้ สิ่งนี้คือ รถยนต์ 4 ล้อ ของ ยี่ห้อ ฟอร์ด รุ่น t  รถยนต์ของฟอร์ด คันนี้ ทำให้เขาต้องตกตะลึง มันเป็นเครื่องจักรที่แสนพิเศษ มันช่างตราตรึงใจ สำหรับเด็กคนนี้มาก เขาเกิดความสงสัยว่า มันขับเคลื่อนได้ยังไง และแล้วเขาก็วิ่งตามมัน เพื่อให้ได้ใกล้ชิดมันมากที่สุด

.

 เมื่อครั้ง เขาเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 เด็กชายโซอิชิโร  ได้มีโอกาสเห็นเครื่องบิน ในเดือนถัดมาหนูน้อยโซอิชิโร  พยายามแต่งตัวให้เหมือนนักบินมากที่สุด

.

ในปี 1922 เขาอ่านหนังสือพิมพ์และเห็นข่าวที่น่าสนใจ ในเนื้อข่าวระบุว่า บริษัทที่ให้บริการรถยนต์ในโตเกียว ชื่อว่า อาท โชไก  ต้องการรับสมัครคนเพื่อมาร่วมทำงาน เขาตัดสินใจส่งจดหมายขอเข้าร่วมงานและ เขาก็ได้งาน

-


ช่วงชีวิตวัยหนุ่ม 


ในวัย 15 ปี เขาจากบ้านที่แสนยากจน มุ่งหน้าสู่เมืองโตเกียว ที่แสนเจริญ ด้วยความคาดหวังว่าจะหางานเพื่อทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น ในร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์เล็กๆ แต่งานที่เขาได้รับกลับเป็นงานเลี้ยงลูกของเจ้าของร้าน และงานเก็บกวาดขยะที่ร้าน เขารู้สึกหมดหวังและทำงานเก็บเงินไม่ได้เลย ในใจเขาก็อยากกลับบ้าน แต่ก็ทนทำต่อไป

ต่อมาเขาเริ่มได้รับความไว้วางใจ และขยับเข้ามาสู่ระบบงานซ่อมบำรุงเครื่องยนต์

การทำงานที่นี่ มีงานซ่อมที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่รถจักรยานจนถึงรถยนต์หรูหราราคาแพง ของชนชั้นสูงทำให้เขาได้เรียนรู้มากมาย

.

ก้าวเข้าสู่โลกของมอเตอร์สปอร์ต

.

ในปี 1923 ในช่วงนี้วงการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกกำลังเริ่มเฟื่องฟู หนุ่มน้อย โชอิชิโร กำลังแตกเนื้อหนุ่มความเร็วความแรงก็ย่อมเป็นที่น่าสนใจเป็นเรื่องปกติ เจ้าของร้าน อาทโชไก ที่เขาทำงานด้วย ก็สนใจมอเตอร์สปอร์ตเหมือนกัน เขาคิดจะสร้างรถขึ้นมาเองเพื่อการแข่งขันครั้งนี้ด้วย

.

รถแข่งรุ่นแรก ที่พวกเขาทำมันขึ้นมามันคือ อาท เดมเลอร์  มันถูกสร้างมาจากเครื่องยนต์มือสอง แล้วต่อมาก็สร้างรุ่นที่ 2 ชื่อ เดอะ เคอตอส  ในรุ่นที่ 2 นี้เครื่องยนต์ของมันมาจากเครื่องยนต์ของเครื่องบิน 2 ปีกในสมัยนั้น ส่วนแชสซี ของรถ นำมาจากรถของคนอเมริกันยี่ห้อ มิชเชล พวกเขาตัดสินใจประกอบรวมร่างมันขึ้นมา

-

ในปี 1924 ก็ลงแข่งขันในรายการ motor car ของญี่ปุ่นครั้งที่ 5

ผู้ขับขี่ในครั้งนี้คือพี่ชายของเจ้าของร้านอาทโชไก และ โซอิจิโร่ เป็นวิศวกรให้

ในวัย 17 ปี กับการเปิดโลกมอเตอร์สปอร์ต ความเร็วและเครื่องยนต์กลไกมันซึมเข้าสู่กระแสเลือดของเขา  ทำให้เขาประทับใจมาก

.   

ในปี 1926 เขาถูกเรียกตัวไปเกณฑ์ทหารแต่ไม่ผ่านเพราะเขาตาบอดสี

ในปี 1928 ร้าน อาทโชไก  ต้องการขยายสาขาที่เมือง ฮามามัตสึ และคนที่เหมาะสม สำหรับตำแหน่งนี้มากที่สุดก็คือ โซอิจิโร่ คนนี้นี่เอง ในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 21 ปี ปัญหาที่เขาเจอคือ คนส่วนใหญ่ไม่กล้าให้เขาทำการซ่อมแซม เพราะ เขาหน้าตายังเด็ก และอายุยังน้อย ดูไม่น่าเชื่อถือเลย แต่เขาทนทำจนเป็นที่ยอมรับในเวลาต่อมา

.

ในปี 1930 กิจการของเขาเริ่มไปได้ด้วยดี เขาทำร้านใหม่และมีลูกจ้างมากถึง 30 คน ในขณะนั้น เขาเป็นทั้งนักซ่อมรถยนต์และเป็นนักแข่งรถด้วย

.

เขาได้สร้างรถยนต์สำหรับการแข่งขันที่ฮามามัตสึ เจ้ารถยนต์ตัวนี้ มันทุบสถิติ โดยการทำความเร็วสูงสุดถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสถิติความเร็วนี้อยู่ได้นานมาจนถึง 20 ปี  ทุกคนต่างยอมรับในความเก่งกาจ ทั้งเรื่องการซ่อมรถ และการแข่งรถของเขา ในเดือนมิถุนายน เขาก็ประสบอุบัติเหตุในการแข่งขันอย่างรุนแรง

.

ในปี 1931  เขาสร้างความฮือฮา ให้วงการยานยนต์ โดยการเปลี่ยนจากล้อไม้ เป็นซี่ล้อโลหะครั้งแรก และมีการจดสิทธิบัตรเอาไว้


ในปี 1936  โซอิจิโร เขาประสบอุบัติเหตุในระหว่างการแข่งขันรถยนต์ ที่ทามากาวะ รุนแรงเกือบถึงชีวิต ภรรยาเขา ขอร้องให้เขาหยุด เขาจึงจำเป็นต้องหยุด เขาเริ่มศึกษาการผลิตแหวนลูกสูบ โดยปรึกษาคุณ ชิจิดร คาโตะ และก่อตั้ง บริษัท โตไก ไซกิ ขึ้นมา

-

ช่วง การพัฒนาธุรกิจ:

-

ในปี 1937 เขา เริ่มธุรกิจผลิตแหวนลูกสูบ

โตไก ไซกิ ตั้ังขึ้นมาเพื่อผลิตและส่งวงแหวนลูกสูบให้กับบริษัทโตโยต้า แต่กลับได้รับข่าวร้ายเพราะแหวนลูกสูบที่ส่งไปทดสอบมีแค่ 3 วงเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบคุณภาพ จากที่ส่งไปทั้งหมด 30,000 วง นับเป็นความล้มเหลวครั้งครั้งใหญ่ของเขา  เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้โซอิจิโร ต้องหันมาเรียนภาคค่ำ เพื่อเรียนรู้ตำราและทฤษฎีโลหะวิทยา เพื่อให้เข้าถึงการผลิตที่มีคุณภาพ เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่า เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับลงมือปฏิบัติจริง และหลังจากนั้น เขาใช้ความรู้ที่มีมาผลิตแหวนลูกสูบ จนโตโยต้ายอมรับในที่สุด

-

ในปี 1941 ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะสงคราม เศรษฐกิจถดถอย แรงงานถูกเกณฑ์เข้าสู่สงครามจำนวนมาก 

-


ช่วงการก่อตั้งฮอนด้า


ในปี 1945  เหตุการณ์ที่แสนสาหัสก็เกิดขึ้น เมื่อ 13 มกราคม 1945 เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้โรงานของเขาถล่ม เกิดความเสียหาย รุนแรง  ต่อมา โรงงานของ โซอิจิโรซัง ก็โดนระเบิดจากสงครามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาไม่สร้างมันขึ้นมาใหม่ เพราะตัวเขามองว่า ประเทศญี่ปุ่นกำลังย่ำแย่และขายธุรกิจให้กับโตโยต้า ไปด้วยมูลค่า 450,000 เยน ซึ่งหลังจากขายกิจการ เขารู้สึกท้อแท้ผิดหวัง จนกลายเป็นขี้เมาข้างถนนนานเกือบปี

-

ปี 1946  เมื่อภาวะสงคราม จบลง ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องสัญจรกันด้วยการเดิน ไม่ก็ปั่นจักรยาน โซอิจิโร จึงลองคิดค้นเครื่องยนต์ขนาดเล็กมาติดกับจักรยาน เพื่อให้ภรรยาของเขาใช้เดินทาง

-

ปี1947 ปีที่เป็นต้นตอของ ฮอนด้า ดรีมที่โด่งดัง   เมื่อคนอื่นพบจักรยานติดเครื่องยนต์ ก็เกิดความสนใจ และต้องการสั่งซื้อมัน เขาพัฒนาเครื่องยนต์ชุดแรก ชื่อ A-TYPE ในปี 1947  และต่อมาเขาสร้างรถมอเตอไซต์ในชื่อ Honda Dream (D-type) ซึ่งเป็นจักรยานยนต์รุ่นฮิต ที่สร้างชื่อให้กับเขา  รถรุ่นนี้ ทำให้Honda กลายเป็นบริษัทจักรยานยนต์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และหลังจากประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมจักรยานยนต์ 

.

ปี 1948 เขาได้ให้กำเนิดบริษัท Honda Motors ซึ่งเป็นบริษัทจักรยานยนต์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งนี้ คุณโซอิจิโร เขาได้ก่อตั้ง สถาบัน Honda Technical Research Institute ด้วย

-

ปี 1961 ฮอนด้า คว้าชัยชนะ 5 อันดับแรกในการแข่งขันรถมอเตอไซต์ รายการ Isle of Man TT or Tourist Trophy ทั่งรุ่น 125 และ 250 ซีซี

-

ปี 1970  คุณโซอิจิโร จึงเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมยานรถยนต์ระดับโลก

ปี 1980  คุณโซอิจิโร เขาได้พา Honda สู่ความยิ่งใหญ่ เป็น Top3 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น และของโลก

.

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ Honda ยังมีหลายธุรกิจที่หลายคนอาจไม่รู้ อาทิ Honda Aircraft Company บริษัทผลิตเครื่องบินที่ได้ศึกษาและพัฒนาเครื่องบิน jet aircraft มาตั้งแต่ปี 1980 และในปี 2003 “HA420 Hondajet” ได้ถูกนำมาใช้ในธุรกิจการบินอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังมี อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ทาง Honda ก็ได้มีการพัฒนาเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ปี 1986 โดย Asimo เป็นหุ่นยนต์ของ Honda ที่เรารู้จักกันดี

-

ช่วงเกษียณอายุ:

 คุณโซอิจิโร ลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทในปี 1973 แต่เขา ยังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทหลังเกษียณ

-

วาระสุดท้ายของชีวิต

   - เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม  1991 ด้วยวัย 84 ปี ต่อมาเขาก็ได้รับการจารึกชื่อในทำเนียบ ปูชนียบุคคลยานยนต์โลก นับเป็นความสุดยอด เพราเขาชาวเอเซียคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

--

คุณ โซอิจิโร่ ฮอนด้าเป็น ที่รู้จักในฐานะนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ เขาสร้างบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อย และมีอิทธิพลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นและทั่วโลก

ขอคำคมและแนวคิด สั้นๆ หน่อยครับ

“ ชีวิตไม่คุ้มค่าที่จะอยู่หรอก ถ้าหากว่า ไม่ทำสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุด" 


-------

ขอขอบคุณ

website 9carthai.com

website blueoclock.com

website  global.honda

Facebook เพจ เปลี่ยนชีวิต กับ ไผ่ ไซโค

Facebook เพจ The People

Youtube ช่อง BARCHETTA