วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปิรามิด มีไว้ทำไม ...? ใช้ฝังศพจริงหรือ? แล้วการวิจัยกว่า 20 ปี เขาเจออะไร ?

 ปิรามิด มีไว้ทำไม ...? ใช้ฝังศพจริงหรือ? แล้วการวิจัยกว่า 20 ปี เขาเจออะไร ?

.

สนใจสาระ ความรู้คู่ความบันเทิง ฝากกดติดตามในช่องนี้ได้เลยนะคับ

ขอบพระคุณสำหรับการกดไลค์ กดติดตามครับ

.

ปิรามิด ตั้งตระหง่านมาเป็นเวลานานกว่า 40 ศตวรรษแล้ว มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของอียิปต์มันสง่างาม ท้าทายแสงตะวัน แสงเดือน และหมู่ดาวที่ทอแสงระยิบระยับ บนชายฝั่งที่ราบลุ่มด้านตะวันตก ตามแนวแม่น้ำไนล์ อันเป็นสายเลือดใหญ่ที่หล่อ เลี้ยงชาวอียิปต์มา นักอียิปต์วิทยา บางกลุ่มกล่าวกันว่า ปิรามิดเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงความเป็นอมตะของฟาโรห์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เสมือนหนึ่งเทพเจ้า  

.

คำถามที่ยังคาใจ


สิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวนี้ สร้างขึ้นมาได้อย่างไร

วัสดุก่อสร้างนำมาจากไหน ? เทคโนโลยีในการสร้างเลียนแบบมาจากใคร ? สร้างขึ้นในสมัยใด ? และมีจุดมุ่ง หมายอย่างไร ? หรือว่าคำตอบปริศนาเร้นลับทั้งหลาย ยังฝังอยู่ใต้ทะเลทรายแถบ นั้น จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีใครทราบคำตอบที่แท้จริงเลย มีแต่เพียงคำกล่าวอ้างตามข้อสันนิษฐานของคนโบราณที่เล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น

.

ข้อเท็จจริงที่สถาปนิกและวิศกรรุ่นใหม่ ที่ค้นพบก็คือว่า การวางฐานการก่อสร้าง เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านทั้ง 4 หรือมุมยกจากฐานไปยังยอด ตรงตามหลักคณิตศาสตร์ ซึ่งพีทาโกรัส  นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวกรีก ค้นพบในเวลาต่อมาทุกประการ ในการขุดเจาะหินคงจะแยกกัน 3 จุด เพื่อเตรียมหินสำหรับก่อสร้างปิรามิด  บริเวณฐานตรงกลางใช้หินทรายก่อเป็นแกนกลางและหินปูนที่ส่องแสงแวววาวนั้น นำมาจากเมืองตูรา ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศใต้ของเมืองไคโร 48 กม.

.

แต่เดี๋ยวก่อนนะ มันมีข้อเสนอใหม่ที่น่าสนใจกว่านั้น แล้วมีหลักฐานมารองรับขึ้นมาใหม่ๆ ด้วยนะ

-

ในมุมของ นักสำรวจยุคใหม่ ปิรามิด ถูกสร้างมา มันดูไม่เหมือนการสร้างมาเพื่อทำหลุมศพ หิน จำนวนมากถึง 2.5 ล้านก้อน  หนัก 6 ล้านตัน สูง 146 เมตร   กินพื้นที่ประมาณ 33 ไร่  มันถูกจัดวางให้มีความห่างเพียง 15 องศาจากเส้นแบ่งทิศเหนือ มัน แม่นยำเหลือเชื่อ มันคือ งานทางวิศวกรรมที่โคตรแม่นยำ คลาดเคลื่อนน้อยมาก  ทุกอย่างจัดวางอย่างลงตัวแบบเป๊ะๆ  ในแต่ละด้านการเรียงก้อนหิน มีความถูกต้องถึง 99.98% จริงๆ แล้ว มันไม่ได้มี 4 ด้านอย่างที่เราเห็น  แต่มันมีร่องตรงกลาง ในแต่ละด้านด้วย กลายเป็นปิรามิดแปดเหลี่ยม  มีการจัดวางเหลี่ยมอย่างลงตัว 


เดิมที เชื่อว่า ภายนอกของปิรามิดนั้นถูกเคลือบด้วยหินชนิดหนึ่งที่มีสีขาวสว่าง ซึ่งหินปูนตัวนี้ถูกนำมาจากพื้นที่อื่นห่างไกลถึง 500 ไมล์  มันประกอบด้วย แมกนีเซียม มันคือ ตัวนำไฟฟ้าอย่างดี  ด้านในปิรามิดจึงเต็มไปด้วยหินแกรนิต ชนิดที่หายากเรียกว่า โรส แกรนิต  

.

โรส แกนิต ประกอบไปด้วยซิลิคอนไดออกไซด์เข้มข้น  หรือ ที่เรารู้จักคือ ควอตซ์  เมื่อมันถูกบีบอัดมากๆ มันจะมีประจุ piezoelectricity หินชนิดนี้ข้างหนึ่งมีประจุบวกอีกข้างหนึ่งมีประจุลบ ซึ่งเหมาะกับวงจรไฟฟ้ามาก   มันเป็นวัสดุที่ใช้ในการทำ นาฬิกา ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วย

.

ในปิรามิดห้องของราชินีและราชา ถูกสร้างขึ้นด้วยหินโรสแกรนิต ที่มีขนาด 85 ควอตซ์ มีช่องทางเดินด้านหนึ่งที่เรียงรายต่อๆ กัน  ทำไมต้องทำช่องต่อๆ กัน  มันน่าสงสัย

.

ความพิเศษของหินพวกนี้คือ หากสร้างแรงดันบางอย่างให้กับหินพวกนี้ มันจะสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาทันที นั่นหมายถึงว่ามันจะเปลี่ยนจากปิรามิดเป็น โรงกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่  ใช่แล้ว นี่คือ มุมมองใหม่

.

คำถามคือ แล้วจะพิสูจน์ได้ยังไงล่ะ

.

ความเห็นของ นักฟิสิกส์นาซ่า

นักฟิสิกส์ของ NASA ชื่อของเขาคือ Freedom Froy สิ่งที่เขาได้สรุปและพิสูจน์แล้ว และภายในห้องทดลองของเขาในการทดลองก็คือ หิน เมื่อมันถูกกดดัน มันจะปล่อยพาหะประจุบวกทั้งหมดออกมา ซึ่งพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ เขาบอกว่าโลก เปลือกโลก เมื่ออยู่ภายใต้ความดัน จะกลายเป็นแบตเตอรี่ จริงๆ แล้ว เรามีแบตเตอรี่ที่มีศักยภาพอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา ดังนั้น จุดประสงค์ของปิรามิด ในความคิดของฉัน คือการดึงดูดอิเล็กตรอนจากแบตเตอรี่นั้น และแผ่พวกมันออกไปแบบไร้สาย

.

ส่วนชายคนนี้ ก็คิดเหมือนกัน เขาคือ คริสโตเฟอร์ ดันน์ แต่คนนี้ ลุยกว่า ถึงขั้นวิจัยมา 20 ปี มาดูกัน

.

ความคิดที่ว่าปิรามิดนั้น เป็นโรงไฟฟ้าถูกเสนอมาในปี 1970 และมันก็เริ่มมีหลักฐานปรากฏที่แน่ชัดขึ้นมาเรื่อยๆ  

.

คริสโตเฟอร์ ดัน เขาชื่อว่าขบวนการผลิตไฟฟ้าเริ่มจากชั้นล่างสุดที่ห้องใต้ดินซึ่งเป็นชั้นหิน มันมีธารน้ำไหลผ่าน โพรง ซึ่งจุดนี้เองมันจะสร้างคลื่นเสียงกระจายไปทั่วทุกโพรงใต้ปิรามิด  พลังงานความถี่ของเสียง จะเข้ากันกับ การสั่นสะเทือนตามธรรมชาติของโลก  คลื่นเสียงจะช่วยขยาย  และแปลงเป็นพลังงาน

.

ห้องราชินีเป็นห้องที่ถูกใช้ในการสร้างปฏิกิริยาของไฮโดรเจน  มันมีข้อพิสูจน์จะมาพวกนี้ คือเราค้นพบว่ามีช่องสองอัน ที่นำไปสู่ห้องของราชินี  เราด้านทิศเหนือ มีกรดไฮโดรคลอริก  ส่วนทางใต้มี zinc chloride  แน่นอนว่าถ้าสาร 2 ตัวนี้เกิดการรวมกัน มันจะสร้างไฮโดรเจนขึ้นมา

.

ไฮโดรเจนจะไหลจากห้องของราชินีไปที่ ห้องแกรนด์แกลลอรี่ ซึ่งผนังของห้องนี้ก็เป็นหินแกรนิต  การ์ดไฮโดรเจนจะสร้างแรงกดดันต่อหินแกรนิตทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า  มันยังแตกตัวเป็นไออ้อนด้วย ซึ่งจะเพิ่มการนำไฟฟ้าภายในห้อง แกรนด์แกลลอรี่ ภายในห้องแกรนด์แกลอรี่จะมีตัวสะท้อนเสียง 27 หรือ 28 คู่  ที่จะคอยรับแรงสั่นสะเทือนของเสียง  ทำให้เกิดการรวมตัวอะตอมของไฮโดรเจน เครื่องเสียงพวกนี้ก็จะช่วยกระตุ้นให้หินแกรนิตยิ่งสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาเพิ่มด้วย

.

มาฟังกันต่อ  บทสัมภาษณ์คุณคริสโตเฟอร์ ดัน ในรายการ the Joe Rogan experience.


พิธีกรได้กล่าวว่าผมรู้ว่า  คุณมีทฤษฎีเกี่ยวกับปิรามิด ที่น่าสนใจมาก ที่นี้มาดูในส่วนที่เป็นห้องของราชา พร้อมกับมีข้อความมากมาย ที่สั่งไว้ตรงทางเข้า คุณคิดว่าตรงนี้ มันคืออะไรกันแน่ครับ

.

คริสโตเฟอร์ ดันน์ เขาตอบว่า จริงๆ แล้วผมได้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียดนะครับ อยู่ในหนังสือเล่มแรกของผมซึ่งออกเมื่อปี 1998  ผมใช้คำว่าโรงไฟฟ้ากิซ่า   ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 ของผม มันได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้คำว่าแหล่งรวบรวมอิเล็กตรอน ก็ลองคิดดูง่ายๆ ครับ

ถ้าคุณเห็นโรงไฟฟ้า คุณก็จะนึกถึงปล่องที่มีควัน มีไอน้ำออกมา หลายคนก็จะติดภาพว่า มันเป็นโรงงานไฟฟ้า ที่ไม่สะอาด ดูน่ารังเกียจ มีควันพิษ แต่สำหรับโรงไฟฟ้าที่เป็นประจุอิเล็กตรอน มันจะแตกต่างไปมาก มันปราศจากมลภาวะ มันสะอาด และมันไม่ได้ทำกันง่ายๆ

.

พิธีกรถามว่า แล้วอะไรคือเครื่องเก็บเกี่ยวอิเล็กตรอนที่คุณว่า

.

คริสโตเฟอร์ ตอบว่า จริงๆแล้ว ตรงนี้มันเป็นที่เก็บประจุอิเล็กตรอน โดยที่ไม่ได้สร้างมันขึ้นมานะ 

.

พิธีกรถามว่า แล้วส่วนที่สร้างไฟฟ้าขึ้นมาล่ะ มันต้องมีช่องมีน้ำมาปั่นหรือไม่คุณมีรูปมาโชว์ไหม

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า มีสิ ผมมีมาให้ดู ถ้าคุณดูในส่วนของห้องที่เก็บพระศพ ตรงนี้มันจะมีทั้งช่อง ทางทิศเหนือและช่องทางทิศใต้ และมันก็จะมีช่องที่มองเห็นดวงดาวด้วย แต่เดิมทีปิรามิดไม่ใช่ทรงนี้นะ คาดว่าก่อนหน้านี้มันจะมีหินปูนแบบแผ่นเรียบเคลือบหน้าไว้อีกชั้นหนึ่ง มันดูเงางามและแวววาวมาก มันมีหน้าที่คอยสะสมแสงที่ส่องลงมา แต่ตอนนี้มันพังทลายไปหมดแล้ว 

.

พิธีกรถามว่า คุณคิดว่าช่องที่ไว้มองดวงดาวแต่ไม่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า มันน่าแปลกใจมากที่ชาวอียิปต์โบราณมีการออกแบบโดยการร้อยสาย 2 เส้นเข้ามาในห้อง 1 แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อมต่อกับห้องนั้น ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่ามันมีอยู่นะ ในปี 1872  เวแมน ดิกสัน  เขาได้ไปสำรวจ ก็เคยเจอว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งประมาณ 5 นิ้วที่มีคนเอาหินนั้นออกไปเขาเลยลองเอาไม้เท้าแหย่ข้าไปดู  เขาลองแหย่เข้าไป ก็มีลักษณะเหมือนไม่มีอะไรจะต้านทานไม้ของเขาเลย คือมันทะลุลงไปเรื่อยๆ 

ก่อนหน้านั้น way man เขาก็ได้รับรายงานมาว่ามีรอยแตกอยู่แล้ว  ต่อมาบิว แกรนดี้ ก็มีการนำค้อนกับสิว มากะเทาะรอบๆ  เขาก็ทำแบบนี้เหมือนกันกับห้องเหนือของห้องพระศพพระราชา  แต่ตอนนี้หลักฐานมันชัดเจนมาก เพราะว่าเขาใช้เครื่องสแกนในการสแกนปิรามิด โดยใช้ Muon tomography พวกเขาพบว่ามันมีช่องว่างขนาดใหญ่เหนือห้องแกลลอรี่ใหญ่ อยู่ทางขวา  

.

พิธีกรถามว่า มันยาวกว่าห้องของกษัตริย์ใช่ไหม

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า ใช่เลยมันยาวกว่า ก็ประมาณขนาดของห้องโดยสารบนเครื่องบินโบอิ้ง 707  มันมีชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งที่ฉันเคยเสนอคือ ช่องทางทิศเหนือ  มันจะมีท่อชิ้นหนึ่ง มีลักษณะคล้ายท่อนำคลื่นไมโครเวฟ ขนาดของมันมีค่าเท่ากับความยาวคลื่นของไฮโดรเจน   มันดูเหมือนเขากำลังส่งขึ้นไมโครเวฟหรือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง  โดยส่งผ่านหลอดหรือเครื่องนำทางคลื่น  ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่มันซับซ้อนมาก 

.

ผมมุดเข้าไปที่ห้องของราชินี และลองวัดระยะ มันลงตัวกับความยาวคลื่นไฮโดรเจนนะ ผมว่ามันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น ห้องของราชินีมันจะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส  มันมีลักษณะเหมือนเขาต้องการ มำการรวบรวมพลังงาน โดยการ เอาคลื่นไมโครเวฟมาเร่งปฏิกิริยาเรือนกระจก ให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากไฮโดรเจนและกลายเป็นพลังงานที่สูงกว่า  แล้วก็บังคับมันไปที่แกนกลาง

.

พิธีกรถามว่า แล้วกาซไฮโดรเจนที่คุณว่าเนี่ย มันมาจากไหน มันเป็นชนิดไหน

.

คริสโตเฟอร์ตอบว่า อยู่ในห้องราชินี แต่มันไม่ได้มาในรูปของไฮโดรเจนโดยตรงนะ  มันมาในรูปแบบของการผสมสารเคมีกัน สองอย่าง ซึ่งมีอยู่ในทฤษฎีของโรงไฟฟ้า พวกเขากลั่นไฮโดรเจนออกมา มันไม่ได้มาจากนอกโลกนะ  ผมเชื่อว่ามันถูกผลิตและส่งไปยังช่องเหล่านั้น


-

ประวัติของ คริสโตเฟอร์ ดันน์


ข้อมูลประวัติของคริสโตเฟอร์ ดันน์

คริสโตเฟอร์ ดันน์มีประสบการณ์มากมายในฐานะช่างฝีมือ โดยเริ่มต้นอาชีพในฐานะลูกมือในบ้านเกิดของเขาที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เขาทำงานในบริษัทผลิตเครื่องบิน และอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1969 ในช่วง 49 ปีที่ผ่านมา คริสทำงานในทุกระดับของการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่ช่างเครื่อง ช่างทำเครื่องมือ โปรแกรมเมอร์และผู้ควบคุมเลเซอร์อุตสาหกรรมกำลังสูง วิศวกรโครงการ และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเลเซอร์ ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของผู้ผลิตเครื่องบินในแถบมิดเวสต์

.

การเดินทางสำรวจปิรามิดของคริสเริ่มขึ้นในปี 1977 หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือ Secrets of the Great Pyramid ของปีเตอร์ ทอมป์กินส์ ปฏิกิริยาตอบสนองทันทีของเขา หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับความแม่นยำ และลักษณะเฉพาะของการออกแบบปิรามิด คือการพิจารณาว่าสิ่งก่อสร้างนี้อาจมีจุดประสงค์ดั้งเดิมที่แตกต่างจากความคิดเห็นทั่วไป หลังจากการวิจัยเพิ่มเติม และศึกษาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ คริสโตเฟอร์


สรุปได้ว่าเดิมทีแล้วจะต้องมีการสร้างสิ่งนี้ขึ้นเพื่อจัดหาพลังงานให้กับสังคมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง กล่าวโดยสรุป เครื่องจักรนี้ก็คือเครื่องจักรขนาดใหญ่ การค้นพบจุดประสงค์ของเครื่องจักรนี้และการบันทึกกรณีของเขาใช้เวลาค้นคว้าเกือบ 20 ปี และหลังจากที่หนังสือของคริสเรื่อง “The Giza Power Plant: Technologies of Ancient Egypt” ตีพิมพ์ในปี 1998 ซึ่งบรรยายถึงอุปกรณ์พลังงานองค์รวมที่เชื่อมโยงอย่างกลมกลืนกับโลกและผู้อยู่อาศัย


คริสได้ตีพิมพ์บทความในนิตยสารมากกว่าสิบฉบับ รวมถึงบทความเรื่อง “Advanced Machining in Ancient Egypt” ที่ถูกอ้างถึงบ่อยครั้งในนิตยสาร Analog ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2527 และงานวิจัยของเขายังถูกอ้างอิงในหนังสือเกี่ยวกับอียิปต์มากกว่าสิบเล่ม ในสหรัฐอเมริกา เขาปรากฏตัวในรายการ PAX Television, Travel Channel, Discovery Channel, The Learning Channel, Lifetime Television และล่าสุดในรายการ Ancient Alien ตอน “The Evidence” ทางช่อง History Channel

.

หนังสือเล่มที่สองของคริส ชื่อว่า “Lost Technologies of Ancient Egypt: Advanced Engineering in the Temples of the Pharaohs” ได้รับการตีพิมพ์โดย Inner Traditions/Bear & Company ในเดือนมิถุนายน 2010 ในงานนี้ คริสเน้นที่ประเด็นสำคัญของการวิจัยของเขาเกี่ยวกับความสามารถในการผลิตของชาวอียิปต์โบราณ และผ่านสายตาและกล้องของวิศวกรของเขา เปิดเผยให้ผู้อ่านเห็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมและเวทมนตร์การผลิตของอียิปต์ที่มองข้ามไปก่อนหน้านี้


ผลงานอันก้าวล้ำของคริสโตเฟอร์ ดันน์ไม่ได้หยุดอยู่ที่มหาปิรามิด เขาสำรวจปรากฏการณ์ที่คล้ายกันในสิ่งก่อสร้างโบราณอื่นๆ ทั่วโลก โดยแนะนำเครือข่ายสถานที่ควบคุมพลังงานทั่วโลก สมมติฐานของเขาเชื่อมโยงความสำเร็จทางเทคโนโลยีของอียิปต์โบราณกับแนวคิดเชิงปฏิวัติของนิโคลา เทสลา ผู้จินตนาการถึงการส่งพลังงานแบบไร้สาย การเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีในอดีตและอนาคตนี้เน้นย้ำถึงการแสวงหาเวลาเหนือกาลเวลาในการควบคุมพลังธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ


โดยสรุป การสำรวจมหาปิรามิดของคริสโตเฟอร์ ดันน์ ท้าทายให้เราขยายความเข้าใจเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณและความสามารถทางเทคโนโลยีของพวกมัน ทฤษฎีของเขาได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยที่เข้มงวดและการเคารพอย่างลึกซึ้งต่อความลึกลับในอดีต นำเสนอมุมมองที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอนาคตที่อาจเกิดขึ้นของเรา




ขอขอบคุณ

nextlevelsoul.com

youtube  channel :: The why files.

nectec.or.th