ปิรามิด มีไว้ทำไม ...? ใช้ฝังศพจริงหรือ? แล้วการวิจัยกว่า 20 ปี เขาเจออะไร ?
.
สนใจสาระ ความรู้คู่ความบันเทิง ฝากกดติดตามในช่องนี้ได้เลยนะคับ
ขอบพระคุณสำหรับการกดไลค์ กดติดตามครับ
.
ปิรามิด ตั้งตระหง่านมาเป็นเวลานานกว่า 40 ศตวรรษแล้ว มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของอียิปต์มันสง่างาม ท้าทายแสงตะวัน แสงเดือน และหมู่ดาวที่ทอแสงระยิบระยับ บนชายฝั่งที่ราบลุ่มด้านตะวันตก ตามแนวแม่น้ำไนล์ อันเป็นสายเลือดใหญ่ที่หล่อ เลี้ยงชาวอียิปต์มา นักอียิปต์วิทยา บางกลุ่มกล่าวกันว่า ปิรามิดเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงความเป็นอมตะของฟาโรห์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เสมือนหนึ่งเทพเจ้า
.
คำถามที่ยังคาใจ
สิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวนี้ สร้างขึ้นมาได้อย่างไร
วัสดุก่อสร้างนำมาจากไหน ? เทคโนโลยีในการสร้างเลียนแบบมาจากใคร ? สร้างขึ้นในสมัยใด ? และมีจุดมุ่ง หมายอย่างไร ? หรือว่าคำตอบปริศนาเร้นลับทั้งหลาย ยังฝังอยู่ใต้ทะเลทรายแถบ นั้น จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีใครทราบคำตอบที่แท้จริงเลย มีแต่เพียงคำกล่าวอ้างตามข้อสันนิษฐานของคนโบราณที่เล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น
.
ข้อเท็จจริงที่สถาปนิกและวิศกรรุ่นใหม่ ที่ค้นพบก็คือว่า การวางฐานการก่อสร้าง เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านทั้ง 4 หรือมุมยกจากฐานไปยังยอด ตรงตามหลักคณิตศาสตร์ ซึ่งพีทาโกรัส นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวกรีก ค้นพบในเวลาต่อมาทุกประการ ในการขุดเจาะหินคงจะแยกกัน 3 จุด เพื่อเตรียมหินสำหรับก่อสร้างปิรามิด บริเวณฐานตรงกลางใช้หินทรายก่อเป็นแกนกลางและหินปูนที่ส่องแสงแวววาวนั้น นำมาจากเมืองตูรา ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศใต้ของเมืองไคโร 48 กม.
.
แต่เดี๋ยวก่อนนะ มันมีข้อเสนอใหม่ที่น่าสนใจกว่านั้น แล้วมีหลักฐานมารองรับขึ้นมาใหม่ๆ ด้วยนะ
-
ในมุมของ นักสำรวจยุคใหม่ ปิรามิด ถูกสร้างมา มันดูไม่เหมือนการสร้างมาเพื่อทำหลุมศพ หิน จำนวนมากถึง 2.5 ล้านก้อน หนัก 6 ล้านตัน สูง 146 เมตร กินพื้นที่ประมาณ 33 ไร่ มันถูกจัดวางให้มีความห่างเพียง 15 องศาจากเส้นแบ่งทิศเหนือ มัน แม่นยำเหลือเชื่อ มันคือ งานทางวิศวกรรมที่โคตรแม่นยำ คลาดเคลื่อนน้อยมาก ทุกอย่างจัดวางอย่างลงตัวแบบเป๊ะๆ ในแต่ละด้านการเรียงก้อนหิน มีความถูกต้องถึง 99.98% จริงๆ แล้ว มันไม่ได้มี 4 ด้านอย่างที่เราเห็น แต่มันมีร่องตรงกลาง ในแต่ละด้านด้วย กลายเป็นปิรามิดแปดเหลี่ยม มีการจัดวางเหลี่ยมอย่างลงตัว
เดิมที เชื่อว่า ภายนอกของปิรามิดนั้นถูกเคลือบด้วยหินชนิดหนึ่งที่มีสีขาวสว่าง ซึ่งหินปูนตัวนี้ถูกนำมาจากพื้นที่อื่นห่างไกลถึง 500 ไมล์ มันประกอบด้วย แมกนีเซียม มันคือ ตัวนำไฟฟ้าอย่างดี ด้านในปิรามิดจึงเต็มไปด้วยหินแกรนิต ชนิดที่หายากเรียกว่า โรส แกรนิต
.
โรส แกนิต ประกอบไปด้วยซิลิคอนไดออกไซด์เข้มข้น หรือ ที่เรารู้จักคือ ควอตซ์ เมื่อมันถูกบีบอัดมากๆ มันจะมีประจุ piezoelectricity หินชนิดนี้ข้างหนึ่งมีประจุบวกอีกข้างหนึ่งมีประจุลบ ซึ่งเหมาะกับวงจรไฟฟ้ามาก มันเป็นวัสดุที่ใช้ในการทำ นาฬิกา ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วย
.
ในปิรามิดห้องของราชินีและราชา ถูกสร้างขึ้นด้วยหินโรสแกรนิต ที่มีขนาด 85 ควอตซ์ มีช่องทางเดินด้านหนึ่งที่เรียงรายต่อๆ กัน ทำไมต้องทำช่องต่อๆ กัน มันน่าสงสัย
.
ความพิเศษของหินพวกนี้คือ หากสร้างแรงดันบางอย่างให้กับหินพวกนี้ มันจะสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาทันที นั่นหมายถึงว่ามันจะเปลี่ยนจากปิรามิดเป็น โรงกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ ใช่แล้ว นี่คือ มุมมองใหม่
.
คำถามคือ แล้วจะพิสูจน์ได้ยังไงล่ะ
.
ความเห็นของ นักฟิสิกส์นาซ่า
นักฟิสิกส์ของ NASA ชื่อของเขาคือ Freedom Froy สิ่งที่เขาได้สรุปและพิสูจน์แล้ว และภายในห้องทดลองของเขาในการทดลองก็คือ หิน เมื่อมันถูกกดดัน มันจะปล่อยพาหะประจุบวกทั้งหมดออกมา ซึ่งพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ เขาบอกว่าโลก เปลือกโลก เมื่ออยู่ภายใต้ความดัน จะกลายเป็นแบตเตอรี่ จริงๆ แล้ว เรามีแบตเตอรี่ที่มีศักยภาพอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา ดังนั้น จุดประสงค์ของปิรามิด ในความคิดของฉัน คือการดึงดูดอิเล็กตรอนจากแบตเตอรี่นั้น และแผ่พวกมันออกไปแบบไร้สาย
.
ส่วนชายคนนี้ ก็คิดเหมือนกัน เขาคือ คริสโตเฟอร์ ดันน์ แต่คนนี้ ลุยกว่า ถึงขั้นวิจัยมา 20 ปี มาดูกัน
.
ความคิดที่ว่าปิรามิดนั้น เป็นโรงไฟฟ้าถูกเสนอมาในปี 1970 และมันก็เริ่มมีหลักฐานปรากฏที่แน่ชัดขึ้นมาเรื่อยๆ
.
คริสโตเฟอร์ ดัน เขาชื่อว่าขบวนการผลิตไฟฟ้าเริ่มจากชั้นล่างสุดที่ห้องใต้ดินซึ่งเป็นชั้นหิน มันมีธารน้ำไหลผ่าน โพรง ซึ่งจุดนี้เองมันจะสร้างคลื่นเสียงกระจายไปทั่วทุกโพรงใต้ปิรามิด พลังงานความถี่ของเสียง จะเข้ากันกับ การสั่นสะเทือนตามธรรมชาติของโลก คลื่นเสียงจะช่วยขยาย และแปลงเป็นพลังงาน
.
ห้องราชินีเป็นห้องที่ถูกใช้ในการสร้างปฏิกิริยาของไฮโดรเจน มันมีข้อพิสูจน์จะมาพวกนี้ คือเราค้นพบว่ามีช่องสองอัน ที่นำไปสู่ห้องของราชินี เราด้านทิศเหนือ มีกรดไฮโดรคลอริก ส่วนทางใต้มี zinc chloride แน่นอนว่าถ้าสาร 2 ตัวนี้เกิดการรวมกัน มันจะสร้างไฮโดรเจนขึ้นมา
.
ไฮโดรเจนจะไหลจากห้องของราชินีไปที่ ห้องแกรนด์แกลลอรี่ ซึ่งผนังของห้องนี้ก็เป็นหินแกรนิต การ์ดไฮโดรเจนจะสร้างแรงกดดันต่อหินแกรนิตทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า มันยังแตกตัวเป็นไออ้อนด้วย ซึ่งจะเพิ่มการนำไฟฟ้าภายในห้อง แกรนด์แกลลอรี่ ภายในห้องแกรนด์แกลอรี่จะมีตัวสะท้อนเสียง 27 หรือ 28 คู่ ที่จะคอยรับแรงสั่นสะเทือนของเสียง ทำให้เกิดการรวมตัวอะตอมของไฮโดรเจน เครื่องเสียงพวกนี้ก็จะช่วยกระตุ้นให้หินแกรนิตยิ่งสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาเพิ่มด้วย
.
มาฟังกันต่อ บทสัมภาษณ์คุณคริสโตเฟอร์ ดัน ในรายการ the Joe Rogan experience.
พิธีกรได้กล่าวว่าผมรู้ว่า คุณมีทฤษฎีเกี่ยวกับปิรามิด ที่น่าสนใจมาก ที่นี้มาดูในส่วนที่เป็นห้องของราชา พร้อมกับมีข้อความมากมาย ที่สั่งไว้ตรงทางเข้า คุณคิดว่าตรงนี้ มันคืออะไรกันแน่ครับ
.
คริสโตเฟอร์ ดันน์ เขาตอบว่า จริงๆ แล้วผมได้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียดนะครับ อยู่ในหนังสือเล่มแรกของผมซึ่งออกเมื่อปี 1998 ผมใช้คำว่าโรงไฟฟ้ากิซ่า ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 ของผม มันได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้คำว่าแหล่งรวบรวมอิเล็กตรอน ก็ลองคิดดูง่ายๆ ครับ
ถ้าคุณเห็นโรงไฟฟ้า คุณก็จะนึกถึงปล่องที่มีควัน มีไอน้ำออกมา หลายคนก็จะติดภาพว่า มันเป็นโรงงานไฟฟ้า ที่ไม่สะอาด ดูน่ารังเกียจ มีควันพิษ แต่สำหรับโรงไฟฟ้าที่เป็นประจุอิเล็กตรอน มันจะแตกต่างไปมาก มันปราศจากมลภาวะ มันสะอาด และมันไม่ได้ทำกันง่ายๆ
.
พิธีกรถามว่า แล้วอะไรคือเครื่องเก็บเกี่ยวอิเล็กตรอนที่คุณว่า
.
คริสโตเฟอร์ ตอบว่า จริงๆแล้ว ตรงนี้มันเป็นที่เก็บประจุอิเล็กตรอน โดยที่ไม่ได้สร้างมันขึ้นมานะ
.
พิธีกรถามว่า แล้วส่วนที่สร้างไฟฟ้าขึ้นมาล่ะ มันต้องมีช่องมีน้ำมาปั่นหรือไม่คุณมีรูปมาโชว์ไหม
.
คริสโตเฟอร์ตอบว่า มีสิ ผมมีมาให้ดู ถ้าคุณดูในส่วนของห้องที่เก็บพระศพ ตรงนี้มันจะมีทั้งช่อง ทางทิศเหนือและช่องทางทิศใต้ และมันก็จะมีช่องที่มองเห็นดวงดาวด้วย แต่เดิมทีปิรามิดไม่ใช่ทรงนี้นะ คาดว่าก่อนหน้านี้มันจะมีหินปูนแบบแผ่นเรียบเคลือบหน้าไว้อีกชั้นหนึ่ง มันดูเงางามและแวววาวมาก มันมีหน้าที่คอยสะสมแสงที่ส่องลงมา แต่ตอนนี้มันพังทลายไปหมดแล้ว
.
พิธีกรถามว่า คุณคิดว่าช่องที่ไว้มองดวงดาวแต่ไม่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
.
คริสโตเฟอร์ตอบว่า มันน่าแปลกใจมากที่ชาวอียิปต์โบราณมีการออกแบบโดยการร้อยสาย 2 เส้นเข้ามาในห้อง 1 แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อมต่อกับห้องนั้น ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่ามันมีอยู่นะ ในปี 1872 เวแมน ดิกสัน เขาได้ไปสำรวจ ก็เคยเจอว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งประมาณ 5 นิ้วที่มีคนเอาหินนั้นออกไปเขาเลยลองเอาไม้เท้าแหย่ข้าไปดู เขาลองแหย่เข้าไป ก็มีลักษณะเหมือนไม่มีอะไรจะต้านทานไม้ของเขาเลย คือมันทะลุลงไปเรื่อยๆ
ก่อนหน้านั้น way man เขาก็ได้รับรายงานมาว่ามีรอยแตกอยู่แล้ว ต่อมาบิว แกรนดี้ ก็มีการนำค้อนกับสิว มากะเทาะรอบๆ เขาก็ทำแบบนี้เหมือนกันกับห้องเหนือของห้องพระศพพระราชา แต่ตอนนี้หลักฐานมันชัดเจนมาก เพราะว่าเขาใช้เครื่องสแกนในการสแกนปิรามิด โดยใช้ Muon tomography พวกเขาพบว่ามันมีช่องว่างขนาดใหญ่เหนือห้องแกลลอรี่ใหญ่ อยู่ทางขวา
.
พิธีกรถามว่า มันยาวกว่าห้องของกษัตริย์ใช่ไหม
.
คริสโตเฟอร์ตอบว่า ใช่เลยมันยาวกว่า ก็ประมาณขนาดของห้องโดยสารบนเครื่องบินโบอิ้ง 707 มันมีชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งที่ฉันเคยเสนอคือ ช่องทางทิศเหนือ มันจะมีท่อชิ้นหนึ่ง มีลักษณะคล้ายท่อนำคลื่นไมโครเวฟ ขนาดของมันมีค่าเท่ากับความยาวคลื่นของไฮโดรเจน มันดูเหมือนเขากำลังส่งขึ้นไมโครเวฟหรือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง โดยส่งผ่านหลอดหรือเครื่องนำทางคลื่น ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่มันซับซ้อนมาก
.
ผมมุดเข้าไปที่ห้องของราชินี และลองวัดระยะ มันลงตัวกับความยาวคลื่นไฮโดรเจนนะ ผมว่ามันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น ห้องของราชินีมันจะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส มันมีลักษณะเหมือนเขาต้องการ มำการรวบรวมพลังงาน โดยการ เอาคลื่นไมโครเวฟมาเร่งปฏิกิริยาเรือนกระจก ให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากไฮโดรเจนและกลายเป็นพลังงานที่สูงกว่า แล้วก็บังคับมันไปที่แกนกลาง
.
พิธีกรถามว่า แล้วกาซไฮโดรเจนที่คุณว่าเนี่ย มันมาจากไหน มันเป็นชนิดไหน
.
คริสโตเฟอร์ตอบว่า อยู่ในห้องราชินี แต่มันไม่ได้มาในรูปของไฮโดรเจนโดยตรงนะ มันมาในรูปแบบของการผสมสารเคมีกัน สองอย่าง ซึ่งมีอยู่ในทฤษฎีของโรงไฟฟ้า พวกเขากลั่นไฮโดรเจนออกมา มันไม่ได้มาจากนอกโลกนะ ผมเชื่อว่ามันถูกผลิตและส่งไปยังช่องเหล่านั้น
-
ประวัติของ คริสโตเฟอร์ ดันน์
ข้อมูลประวัติของคริสโตเฟอร์ ดันน์
คริสโตเฟอร์ ดันน์มีประสบการณ์มากมายในฐานะช่างฝีมือ โดยเริ่มต้นอาชีพในฐานะลูกมือในบ้านเกิดของเขาที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เขาทำงานในบริษัทผลิตเครื่องบิน และอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1969 ในช่วง 49 ปีที่ผ่านมา คริสทำงานในทุกระดับของการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่ช่างเครื่อง ช่างทำเครื่องมือ โปรแกรมเมอร์และผู้ควบคุมเลเซอร์อุตสาหกรรมกำลังสูง วิศวกรโครงการ และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเลเซอร์ ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของผู้ผลิตเครื่องบินในแถบมิดเวสต์
.
การเดินทางสำรวจปิรามิดของคริสเริ่มขึ้นในปี 1977 หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือ Secrets of the Great Pyramid ของปีเตอร์ ทอมป์กินส์ ปฏิกิริยาตอบสนองทันทีของเขา หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับความแม่นยำ และลักษณะเฉพาะของการออกแบบปิรามิด คือการพิจารณาว่าสิ่งก่อสร้างนี้อาจมีจุดประสงค์ดั้งเดิมที่แตกต่างจากความคิดเห็นทั่วไป หลังจากการวิจัยเพิ่มเติม และศึกษาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ คริสโตเฟอร์
สรุปได้ว่าเดิมทีแล้วจะต้องมีการสร้างสิ่งนี้ขึ้นเพื่อจัดหาพลังงานให้กับสังคมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง กล่าวโดยสรุป เครื่องจักรนี้ก็คือเครื่องจักรขนาดใหญ่ การค้นพบจุดประสงค์ของเครื่องจักรนี้และการบันทึกกรณีของเขาใช้เวลาค้นคว้าเกือบ 20 ปี และหลังจากที่หนังสือของคริสเรื่อง “The Giza Power Plant: Technologies of Ancient Egypt” ตีพิมพ์ในปี 1998 ซึ่งบรรยายถึงอุปกรณ์พลังงานองค์รวมที่เชื่อมโยงอย่างกลมกลืนกับโลกและผู้อยู่อาศัย
คริสได้ตีพิมพ์บทความในนิตยสารมากกว่าสิบฉบับ รวมถึงบทความเรื่อง “Advanced Machining in Ancient Egypt” ที่ถูกอ้างถึงบ่อยครั้งในนิตยสาร Analog ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2527 และงานวิจัยของเขายังถูกอ้างอิงในหนังสือเกี่ยวกับอียิปต์มากกว่าสิบเล่ม ในสหรัฐอเมริกา เขาปรากฏตัวในรายการ PAX Television, Travel Channel, Discovery Channel, The Learning Channel, Lifetime Television และล่าสุดในรายการ Ancient Alien ตอน “The Evidence” ทางช่อง History Channel
.
หนังสือเล่มที่สองของคริส ชื่อว่า “Lost Technologies of Ancient Egypt: Advanced Engineering in the Temples of the Pharaohs” ได้รับการตีพิมพ์โดย Inner Traditions/Bear & Company ในเดือนมิถุนายน 2010 ในงานนี้ คริสเน้นที่ประเด็นสำคัญของการวิจัยของเขาเกี่ยวกับความสามารถในการผลิตของชาวอียิปต์โบราณ และผ่านสายตาและกล้องของวิศวกรของเขา เปิดเผยให้ผู้อ่านเห็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมและเวทมนตร์การผลิตของอียิปต์ที่มองข้ามไปก่อนหน้านี้
ผลงานอันก้าวล้ำของคริสโตเฟอร์ ดันน์ไม่ได้หยุดอยู่ที่มหาปิรามิด เขาสำรวจปรากฏการณ์ที่คล้ายกันในสิ่งก่อสร้างโบราณอื่นๆ ทั่วโลก โดยแนะนำเครือข่ายสถานที่ควบคุมพลังงานทั่วโลก สมมติฐานของเขาเชื่อมโยงความสำเร็จทางเทคโนโลยีของอียิปต์โบราณกับแนวคิดเชิงปฏิวัติของนิโคลา เทสลา ผู้จินตนาการถึงการส่งพลังงานแบบไร้สาย การเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีในอดีตและอนาคตนี้เน้นย้ำถึงการแสวงหาเวลาเหนือกาลเวลาในการควบคุมพลังธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
โดยสรุป การสำรวจมหาปิรามิดของคริสโตเฟอร์ ดันน์ ท้าทายให้เราขยายความเข้าใจเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณและความสามารถทางเทคโนโลยีของพวกมัน ทฤษฎีของเขาได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยที่เข้มงวดและการเคารพอย่างลึกซึ้งต่อความลึกลับในอดีต นำเสนอมุมมองที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอนาคตที่อาจเกิดขึ้นของเรา
ขอขอบคุณ
nextlevelsoul.com
youtube channel :: The why files.
nectec.or.th